post

เตรียมความพร้อมนับถอยหลังสู่ ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2020

ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วสำหรับรายการแข่งขันจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในรายการจักรยานทางไกลนานาชาติ ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2020 ซึ่งได้ฤกษ์จัดการแข่งขันกันในวันที่ 6-19 ตุลาคมนี้หลังจากมีอันต้องเลื่อนจากกำหนดการเดิมที่จะจัดกันช่วงต้นเดือนเมษายนอันเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นั่นเอง

โดยล่าสุดถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลายลงไปพอสมควรแล้ว แต่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันก็ยังคงไม่ประมาทได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านความปลอดภัยอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการนำเชื้อกลับเข้ามาแพร่ในประเทศไทยอีก โดยจัดให้มีการกักตัวนักกีฬาจากต่างประเทศกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ในสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) และทำการตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดทั้งตัวนักกีฬาและผู้เกี่ยวข้อง ตามมาตรการการควบคุมโรคของทางกระทรวงสาธารณสุข โดยกำหนดการตรวจเชื้อทีมชายในวันที่ 4 ตุลาคม ที่โรงแรมธำรงอินน์ ส่วนทีมหญิงจะทำการตรวจหาเชื้อในวันที่ 10 ตุลาคม ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งในส่วนนี้ทางฝ่ายจัดการแข่งยืนยันแล้วว่า มั่นใจในกระบวนการควบคุมส่วนนี้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

รายการจักรยานทางไกล ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2020 นั้นนับเป็นการจัดการแข่งขันขึ้นเป็นปีที่ 20 ติดต่อกันแล้วและที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งในด้านของการกีฬาและเชิงท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันขึ้นโดยสมาคมจักรยานในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือ สสส. ภายใต้การควบคุมของทางสหพันธ์จักรยานนานาชาติ โดยผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

โดยเส้นทางที่จะใช้ในการแข่งขันปีนี้ ทางสมาคมกำหนดใช้เส้นทางที่จะใช้ทำการแข่งขันคือ เส้นทางล่องใต้โดยเน้นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายภาครัฐควบคู่ไปด้วย โดยประเภททีมชายจะทำการแข่งขันสเตจแรกในวันที่ 6 ตุลาคม โดยใช้เส้นทางเริ่มต้นจากอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ต่อไปยัง จ.เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร-ระนอง-สุราษฎร์ธานี ไปสิ้นสุดที่เขื่อนรัชชประภา รวมระยะทาง 1099 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็น 6 สเตจ ส่วนในการแข่งขันประเภททีมหญิงจะใช้เส้นทางภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แบ่งออกเป็น 3 สเตจ ระยะทางรวม 282.80 กิโลเมตร

นับเป็นข่าวดีอย่างยิ่งที่การแข่งขันจักรยานทางไกลรายการนี้สามารถกลับมาทำการแข่งขันได้อีกครั้ง ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีในทางด้านการกีฬาแล้ว ยังจะเป็นการผลักดันธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลังซบเซาหนักหลังจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ แต่การได้เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเมืองรองตามจุดประสงค์ของการจัดการแข่งขัน ก็นับเป็นผลดีไม่น้อยสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้เห็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของประเทศไทยพร้อมทั้งมีความมั่นใจในความปลอดภัยของบ้านเราไปด้วยในตัว

post

ทัดดาว-พรพรรณ สองนักตบสาวไทย ที่กำลังจะไปตบไกลถึงเจแปน

สำหรับวงการวอลเลย์บอลแล้ว วีลีก ของประเทศญี่ปุ่นถือเป็นลีกวอลเลย์บอลอาชีพระดับแนวหน้าของเอเชียรวมไปถึงของโลก และมันก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควรที่จะมีนักตบสาวไทยก้าวเข้าไปเล่นในรายการนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีเลยเสียทีเดียวอย่างเมื่อไม่นานมานี้เราก็ได้ยินดีไปกับความสำเร็จของ “ทิพย์” แก้วกัลยา กมุลทะลานักตบสาวไทยที่ไม่ใช่เพียงแค่ได้เล่นในวีลีกเท่านั้น แต่เธอยังสามารถก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้สำเร็จอีกด้วย

และสำหรับข่าวดีของวงการวอลเลย์บอลไทยเราก็คือ การที่ในฤดูกาลหน้าเราจะได้เห็นนักตบสาวไทยที่จะลงเล่นในลีกประเทศญี่ปุ่น แถมจะมีพร้อมกันถึงสองคนอีกด้วยซึ่งพวกเธอทั้งสองคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นขาประจำในทีมชาติไทยมาอย่างยาวนาน และเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีของแฟนวอลเลย์บอลชาวไทยนั่นก็คือ

“แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง สาวร้อยเอ็ดวัย 26 ปี ผู้เล่นในตำแหน่งบอลเร็วที่จะย้ายไปเล่นกับทีมเจที มาร์เวลัสทีมแชมป์เก่าของลีกหรือก็คือทีมเก่าของทิพย์ แก้วกัลยานั่นเอง ซึ่งก็เท่ากับว่าทัดดาวจะกลายเป็นนักตบไทยคนที่สองของทีมนี้ และเป็นนักวอลเลย์บอลคนที่สามของไทยที่ได้เล่นในวีลีก ต่อจากชัชชุอร โมกศรี และแก้วกัลยา กมุลทะลา และแน่นอนว่าเป้าหมายของทัดดาวก็คือการช่วยทีมใหม่ป้องกันแชมป์ให้ได้ และถ้าหากว่าทำได้สำเร็จก็เท่ากับว่าจะมีนักวอลเลย์บอลชาวไทยเป็นแชมป์วีลีก ญี่ปุ่นได้ถึงสองปีติดต่อกัน

อีกคนหนึ่งก็คือ “ชมพู่” พรพรรณ เกิดปราชญ์ อีกหนึ่งเซ็ตเตอร์ตัวความหวังของทีมชาติไทย ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะย้ายไปเล่นในวีลีก ญี่ปุ่นร่วมกับทีมดังอย่าง โตโยต้า ออโต้ บอดี้ในฤดูกาลหน้า ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญบนเส้นทางนักกีฬาของเธอที่จะได้ออกไปหาประสบการณ์ในลีกต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่เอเคยไปคว้าแชมป์วอลเลย์บอลลีกประเทศอินโดนีเซีย กับทีมโปปซิโว โปวาลมาแล้วเมื่อฤดูกาล 2019-2020 ที่ผ่านมา

นับว่าเป็นก้าวสำคัญของทั้งทัดดาว นึกแจ้ง และพรพรรณ เกิดปราชญ์ รวมไปถึงวงการวอลเลย์บอลประเทศไทย สำหรับการที่มีโอกาสก้าวเข้าไปสู่การแข่งขันลีกอาชีพที่ใหญ่และมีคุณภาพสูงอย่างวีลีก ญี่ปุ่น เพราะแน่นอนว่าพวกเธอทั้งคู่นั้นจะเป็นกำลังหลักให้กับทีมชาติไทยในช่วงเปลี่ยนเลือดใหม่นี้ และการได้รับประสบการณ์จากเวทีระดับนี้จะช่วยยกระดับฝีมือของพวกเธอได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมที่เข้มข้นและการลงเล่นร่วมกับนักวอลเลย์บอลระดับโลกหลายต่อหลายคน สิ่งเหล่านี้จะส่งผ่านตัวของพวกเธอมาสู่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ในทีมชาติไทยได้อย่างแน่นอน ดังนั้นแฟนวอลเลย์บอลชาวไทยคงจะต้องติดตามให้กำลังใจพวกเธอทั้งคู่ ให้ประสบความสำเร็จในการย้ายทีมครั้งนี้ และนำความภาคภูมิใจและประสบการณ์ดี ๆ เข้ามาสู่ทีมชาติไทยของเราต่อไป

post

เปิดตัวสวย นัดแรกในลาลีกาของ โรนัลด์ คูมัน กับงานในฝันที่บาร์เซโลน่า

การกลับคืนสู่ถิ่นคัมป์ นู อีกครั้งของอดีตผู้เล่นระดับตำนานของสโมสรอย่างโรนัลด์ คูมันนั้น แน่นอนว่าสำหรับตัวของเขาเองแล้วนี่มันคืองานในฝัน โดยถึงขนาดที่เจ้าตัวเองลงทุนของเงื่อนไขสัญญากับทุกทีมที่คุมว่าถ้าหากมีสัญญาเรียกตัวจากยานแม่แล้วสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที มันแสดงให้เห็นว่าตัวของคูมันนั้นรักสโมสรแห่งนี้มากเพียงใด แต่การรับงานของเขาในครั้งนี้มันกลับทำให้หลายคนมองว่ามันมีปัญหาที่น่ากังวลหลายอย่างสำหรับเขา

นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์บนยานแม่ในตอนที่เขารับงานมันย่ำแย่อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินที่โดนพิษโควิดกระหน่ำอย่างจัง ยังมีปัญหาฟอร์มตกสุดกู่และทีมสปิริตที่แตกกระเจิงจากผลงานของโค้ชคนก่อน และที่สำคัญเรื่องความร่วงโรยและหมดไฟของแกนหลักของทีมอีกด้วย โดยเฉพาะคนสำคัญที่สุดของทีมอย่างลีโอเนล เมสซี่ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีปัญหาอย่างหนักจนถึงขั้นขอย้ายทีมเลยทีเดียว

คูมันเริ่มต้นงานของเขาด้วยการหาทางออกและรั้งตัวเมสซี่ไว้ได้สำเร็จ อย่างน้อยก็จนกว่าสัญญาของเขากับทีมที่เหลืออยู่จะหมดลงในปีหน้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่าสามารถรักษาขวัญกำลังใจของผู้เล่นคนอื่น ๆ ไว้ได้ ตามมาด้วยการปล่อยผู้เล่นอายุเยอะและไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกไปเพื่อลดรายจ่ายให้กับทีม และค่อย ๆ สร้างทีมของเขาขึ้นมาใหม่

โดยทีมที่เขาจะใช้ไล่ล่าความยิ่งใหญ่กลับมาสู่คัมป์ นูนั้น เมื่อดูจากเกมเปิดฤดูกาลของลาลีกาที่เขาพาบาร์ซ่ายุคใหม่ ไล่ถล่มทีมแกร่งอย่างบียาร์รีลไปถึงสี่ประตูต่อศูนย์นั้นจะเห็นว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยคูมันยังคงใช้เคราร์ด ปีเก้ กองหลังตัวเก๋าลงคุมแนวรับ และยังมีจอร์ดี้ อัลบ้าเติมเกมอยู่ทางฝั่งซ้าย ในแดนกลางยังคงใช้แซร์โจ้ บุสเก็ตส์คอยคุมจังหวะเกม โดยใช้พลังหนุ่มของแฟรงกี้ เด ยองคอยไล่บอลทดแทนสภาพร่างกายที่ช้าลงให้บุสเก็ตส์อีกที ส่วนแนวรุกให้เมสซี่ยืนหน้าเป้าแล้วให้โอกาสคูตินโญ่อีกครั้ง ในบทบาทตัวสนับสนุนอยู่ข้างหลังกัปตัน ส่วนริมเส้นสองฝั่งเป็นอองตวน กรีซมันและเจ้าหนูต่างดาวอย่างอันซู ฟาติ

ซึ่งจากผลงานที่ออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าแผนนี่ไปได้สวย โดยเฉพาะเจ้าหนูอันซู ฟาติที่ตอบแทนความไว้วางใจของนายใหม่ด้วยการกดไปถึงสองประตูแถมเรียกจุดโทษให้กัปตันอีกด้วย และพลังแฝงอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะทำให้ทีมชุดนี้ไปได้สวยก็คือความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองของกรีซมันและคูตินโญ่ ซึ่งทุกคนต่างรู้ว่าในวันที่สองคนนี้อยู่ในฟอร์มสุดยอดพวกเขาน่ากลัวแค่ไหน และการได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งจากคูมันอาจจะจุดไฟให้พวกเขากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งมันจะเท่ากลับว่าบาร์ซ่าได้สองผู้เล่นระดับโลกกลับมาโดยไม่ต้องควักเพิ่มเลย

การเปิดตัวได้อย่างสวยงามของโรนัลด์ คูมันและบาร์เซโลน่านั้นถึงแม้ว่ามันจะดูสวยงามซึ่งเป็นธรรมดาของชัยชนะ แต่มันก็เป็นเพียงแค่นัดแรกของฤดูกาลเท่านั้นระยะทางยังอีกยาว แต่มันก็คงเพียงพอให้แฟนบาร์ซ่าที่ห่อเหี่ยวมาจากฤดูกาลก่อน ได้กลับมามีความหวังอีกครั้งอย่างแน่นอน

post

ควันหลงหลังเกมที่ หมาป่าเขี้ยวคมบุกจมเรือใบคาบ้านแบบยับเยิน

นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีเรื่องให้พูดถึงอย่างมากมายเลยทีเดียว สำหรับการที่ทีมเรือใบสีฟ้าโดนจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ บุกถล่มโหดคารังไปถึง 5 ประตูต่อ 2 ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะพบเห็นกันได้ง่าย ๆ สำหรับการที่ทีมใหญ่อย่างซิตี้ แถมมีกุนซือระดับโลกอย่างเป็ป กวาร์ดิโอล่าคุมทีม จะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับใครคาบ้านแบบนี้

และสำหรับเรื่องที่น่าสนใจที่จะนำมาพูดถึงหลังเกมการแข่งขัน ที่เป็นเหมือนความฝันอันเลวร้ายของซิตี้ และเป็นการปลุกความฮึกโหมให้กับเลสเตอร์ในครั้งนี้ก็คือ

  1. การประลองเคล็ดวิชาแห่งลามาเซีย

แน่นอนว่าทุกคนทั่วโลกต่างก็รู้ว่าเป็ป กวาร์ดิโอล่านั้นคือผลผลิตโดยตรงจากลามาเซียของแท้ โดยเริ่มตั้งแต่เป็นเยาวชน นักเตะ และโค้ช แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าเบรนดัน ร็อดเจอร์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลงใหลในปรัชญาแห่งลามาเซียด้วยเช่นกัน จนถึงกับลงทุนไปเล่าเรียนวิชาลูกหนังสายนี้ถึงสเปนมาเช่นกัน และนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้บีร็อดจ์นั้นสามารถหาวิธีรับมือแท็กติกของเป็ปในเกมนี้ด้วยก็เป็นได้

2.เรื่องของสถิติ

จากผลการแข่งขันในนัดนี้มันกลายเป็นสถิติต่าง ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย โดยสถิติที่ไม่ดีนั้นก็คือมันเป็นการที่เป็ป กวาร์ดิโอล่าคุมทีมแล้วโดนยิงถึงห้าเม็ดเป็นครั้งแรกจากการคุมทีมมากกว่าหกร้อยเกมของเขา และยังเป็นการเสียประตูถึงห้าลูกในบ้านครั้งแรกในรอบ 438 นัดอีกด้วย ส่วนสถิติในทางดีนั้นก็คงจะอยู่ทางฝั่งเลสเตอร์นั่นก็คือพวกเขาสร้างสถิติเป็นทีมที่ได้ประตูจากจุดโทษมากที่สุดที่สามประตูด้วยกัน และเจมมี่ วาร์ดี้ยังกลายเป็นกองหน้าวัยเก๋า (เกิน30) ที่ยิงแฮทริกได้ในรอบ 17 ปีอีกด้วยหลังจากเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮมเคยทำไว้เมื่อครั้งอยู่กับพอร์สมัธ

3.เรื่องของเงินและสุขภาพ

หลายท่านอาจสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับเกมนี้ แต่หากลองมองดูจากสภาพทีมแล้วแมนซิตี้ที่มีแผงเกมรับมูลค่ารวมกันเกือบสองหมื่นล้าน แต่กลับถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานจนเหลือผู้เล่นที่ฟิตเต็มร้อยให้เลือกใช้งานเพียงแค่ไม่กี่คน ในขณะที่เลสเตอร์ใช้ทีมที่มีมูลค่าน้อยกว่าแต่ฟิตกว่าแล้วอัดแท็กติกเข้าไปแล้วเล่นได้อย่างเต็มศักยภาพ ผลมันจึงออกมาอย่างที่เห็นมันจึงทำให้เห็นว่าเงินนั้นสามารถซื้อนักเตะได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพของนักเตะได้เช่นกัน

ชัยชนะในนัดนี้ของเลสเตอร์นั้นมันทำให้พวกเขายังคงเกาะหัวตารางได้อย่างเหนียวแน่น แต่สำหรับทางฝั่งแมนซิตี้เองก็ยังนับว่าดีที่มันเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งมันน่าจะทำให้พวกเขามองเห็นปัญหาและสามารถแก้ได้ทัน ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีอไรให้พูดถึงเยอะหลังเกม แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการตัดสินแชมป์กันเสียเมื่อไหร่ ยังไงก็ยังคงต้องติดตามดูกันไปอีกยาว

post

ลุ้นกันต่อกับเส้นทางสายโค้ชของ “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์

นับเป็นอีกหนึ่งข่าวดีของวงการวอลเลย์บอลไทย หลังจากที่ทางสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย (AVC) ได้ทำการประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายของทวีปเอเชียที่ผ่านเข้ารอบโครงการ Euro/Asia Coaches Cooperation Project ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างสมาพันธ์วอลเลย์บอลสองทวีปในการที่จะเฟ้นหาผู้มีคุณสมบัติที่จะเข้าทำการฝึกอบรมหลักสูตรการเป็นโค้ชวอลเลย์บอลในปีหน้า

และปรากฏว่ารายชื่อหนึ่งในแปดคนของทวีปเอเชียมีชื่อของ “กัปตันกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ นักตบสาวขวัญใจชาวไทยรวมอยู่ด้วยนั่นเอง ซึ่งทำให้เธอยังคงอยู่ในเส้นทางการคัดเลือกต่อไป เพราะต้องรอคัดเลือกคุณสมบัติตัดตัวกันอีกรอบหนึ่ง เนื่องจากโครงการนี้จะให้โควตาผู้เข้าอบรมจากทั้งสองทวีปรวมกันแค่ 8 คน หรือได้สิทธิ์ทวีปละ 4 คนนั่นเอง

สำหรับตัวของกัปตันกิ๊ฟเองซึ่งปัจจุบันอายุ 36 ปี และกำลังวางแผนที่จะวางมือจากการเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย เพื่อให้เวลากับตัวเองและครอบครัวเสียทีหลังจากที่ทุ่มเทให้กับการเล่นวอลเลย์บอลมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักกีฬาสายเลือดได้ก้าวขึ้นมาทดแทนอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้แฟนวอลเลย์บอลใจหายไม่น้อยที่จะไม่เห็นเธอที่ถือเป็นหนึ่งในห้าเซียน ที่เป็นชุดบุกเบิกความยิ่งใหญ่และปลุกกระแสนิยมให้กับวอลเลย์บอลไทย โลดแล่นอยู่ในสนามอีกต่อไป

ถึงแม้จะเป็นที่น่าเสียดายได้เพียงใดแต่มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของเส้นทางนักกีฬาอาชีพ ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างมันก็ต้องถึงวันที่จะต้องหยุดเล่นกันทุกคน แต่แฟนวอลเลย์บอลหลาย ๆ คนต่างก็เห็นว่าด้วยคุณสมบัติที่ตัวเธอมีไม่ว่าจะเป็นเทคนิคต่าง ๆ ในการเล่นวอลเลย์บอล ประสบการณ์มากมายจากเวทีระดับโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมไปถึงความเป็นผู้นำของเธอยามที่อยู่ในสนาม คุณสมบัติเหล่านี้มันจะมีประโยชน์มากสำหรับพัฒนาการของนักวอลเลย์บอลสายเลือดใหม่ ถ้าหากว่าเธอสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาให้แก่รุ่นน้องได้ และทางที่ดีที่สุดในการถ่ายทอดวิชาก็คงจะหนีไม่พ้นการเป็นโค้ชนั่นเอง และการตัดสินใจลงสมัครเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ของเธอมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เพียงแค่แฟนวอลเลย์บอลที่อยากจะเห็นกัปตันกิ๊ฟมาเป็นผู้ฝึกสอนให้กับรุ่นน้อง แต่ตัวของเธอเองก็วางแผนเอาไว้แบบนั้นเช่นกัน และหวังว่าสิ่งที่ทุกคนอยากจะเห็นจะเป็นจริงในอนาคตอันใกล้นี้

แฟนวอลเลย์บอลไทยยังคงต้องคอยลุ้นช่วยกัปตันกิ๊ฟกันอีกรอบหนึ่ง เพื่อที่จะคว้าสิทธิ์การเข้าเป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรโค้ชในครั้งนี้เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรม มาผสานกับประสบการณ์ที่เธอมีเพื่อถ่ายทอดให้กับรุ่นน้องต่อไป และไม่แน่ว่าความหวังสูงสุดที่เธอยังไม่สามารถคว้ามาได้ตอนเป็นผู้เล่นอย่างตั๋วเข้าร่วมโอลิมปิก ทีมชาติไทยอาจจะสามารถทำได้สำเร็จภายใต้โค้ชที่ชื่อ “โค้ชกิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ ก็คงจะถือเป็นการเติมเต็มความฝันของเธอได้เช่นกัน

post

พระเจ้าก็ยังไม่เว้น ปีศาจแดงดำยืนยันซลาตันติดโควิด-19

ถึงแม้ว่าตัวของซลาตัน อิบราฮิโมวิชนั้นจะได้รับการยกย่องจากแฟนบอลว่าเขาคือพระเจ้า ผู้ที่สามารถจะทำอะไรให้เกิดขึ้นในสนามได้เกินกว่าที่ผู้คนทั่วไปจะทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็คือมนุษย์เราคนหนึ่งนี่เอง และมันก็ทำให้เขาไม่ได้ปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19 นี้มากไปกว่าคนอื่น ๆ บนโลกแต่อย่างใด

และเมื่อไม่นานมานี้ทางสโมสรปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะมีการแข่งขันรายการยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกรอบสามในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าผลตรวจของซลาตันนั้นออกมาเป็นบวก ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถลงสนามช่วยทีมในเกมดังกล่าวได้ และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่สองของทีมที่โดนเจ้าเชื้อร้ายนี้เล่นงานต่อจากลีโอ ดูอาร์ต กองหลังชาวบราซิลที่ถูกแยกกักตัวไปก่อนแล้ว

ซึ่งจากผลการตรวจพบดังกล่าวจะทำให้เขาไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้อย่างน้อย ๆ ก็สองเกมคือยูโรป้าลีกที่พบกับ โบโด กลิมท์ และกัลโช่ ซีเรีย อา นัดที่สองของฤดูกาลที่จะ ที่จะบุกไปเยือนโครโตเน่ ส่วนนัดอื่น ๆ นั้นคงจะต้องรอผลการรักษาและการตรวจหาเชื้ออีกที

ถ้าหากว่าการรักษาอาการติดเชื้อครั้งนี้มีอันต้องยืดเยื้อออกไปแล้วละก็ มันจะเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียวต่อทัพปีศาจแดงดำ เพราะถึงแม้ว่าซลาตันจะมีอายุปาเข้าไปถึง 38 ปีแล้ว แต่ผลงานของเขากับดีกว่าแนวรุกคนอื่น ๆ ที่พวกเขามีรวมกันเสียอีก เห็นได้ชัดจากการดึงตัวเขามาร่วมทีมในครึ่งหลังของฤดูกาลก่อน เขาใช้โอกาสที่เหลือของปีลงสนามไป 18 นัด และกดไปถึง 10 ประตู และมันไม่ใช่เพียงแค่ยอดการทำประตูเท่านั้นที่ทำให้เขากลายเป็นส่วนสำคัญของทีม เขายังช่วยให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ในแนวรุกทำผลงานได้ดีขึ้นอีกด้วยเมื่อดูจากผลงานปีก่อนเช่นกันซึ่งพบว่า 19 นัดครึ่งแรกที่ไม่มี   ซลาตัน นั้นทั้งทีมยิงได้เพียงแค่ 16 ประตูเท่านั้นเอง ในขณะที่หลังจากเขาเข้ามายอดถล่มประตูรวมทั้งทีมสูงขึ้นเกือบสามเท่าตัว ในจำนวนเกมการแข่งขันที่เท่ากัน

ในฤดูกาลนี้ก่อนที่จะมีข่าวร้ายนี้กับเขา ผลงานของซลาตันในการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ก็กำลังไปได้สวยทีเดียวเมื่อเขาสามารถเบิกสกอร์ได้ตั้งแต่นัดแรกของปี ในการแข่งขันยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบคัดเลือกรอบที่ 2 กับแชมร็อก โรเวอร์ส ตามมาด้วยการเหมาคนเดียวสองลูกพาทีมเปิดบ้านชนะโบโลญญ่าในนัดเปิดสนามกัลโช่ ซีเรีย อา อีกด้วย

แฟนบอลของทางปีศาจแดงดำคงจะด้องเอาใจช่วยให้พระเจ้าของพวกเขา กลับมาลงสนามให้ได้อีกครั้งโดยเร็วและลุ้นให้ฟอร์มของเขายังไม่ตกลงไปเพราะปัญหาสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าคงไม่น่าห่วงนัก เพราะถึงพระเจ้าองค์นี้จะไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์เหมือนผู้วิเศษ แต่เรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นบอกเลยว่าโควิด-19 คงจะทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

post

การหวนกลับคืนสู่ตูรินอีกครั้งของ อัลวาโร่ โมราต้า

หลังจากที่มีข่าวกับผู้เล่นหลายต่อหลายคน สำหรับการจะเสริมแนวรุกให้กับทีมม้าลายแห่งตูริน ยูเวนตุส และสุดท้ายก็กลายเป็นการดึงตัวอดีตกองหน้าของทีม อย่างอัลวาโร่ โมราต้า ด้วยสัญญายืมตัวมาจากทีมตราหมี แอตเลติโก มาดริด ซึ่งถือเป็นการกลับมาสู่สโมสรเดิมที่เขาเคยประสบความสำเร็จมากพอสมควรของกองหน้าวัย 27 ปีชาวสเปน เรียกได้ว่านี่น่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่แฮปปี้กันทุกฝ่ายเลยทีเดียว

อัลวาโร่ โมราต้านั้นครั้งหนึ่งเมื่อช่วงปี 2014-2016 เขาเคยมาค้าแข้งที่ตูรินมาแล้ว ถึงแม้ว่าผลงานส่วนตัวของเขาจะไม่ได้เลิศหรูนัก โดยทั้งสองฤดูกาลเขาลงสนามให้กับทีม 63 นัด ทำไปทั้งหมด 15 ประตู แต่ความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลของเขากับทีมนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว เพราะเขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์คือสคูเด็ตโต้และโคป้าอิตาเลียได้ทั้งสองฤดูกาลที่อยู่ที่นี่ และนับตั้งแต่ย้ายออกไปเมื่อปี 2016 เขาก็ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสำเร็จการเป็นแชมป์ได้อีกหลายรายการทั้งลาลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกกับเรอัล มาดริด เอฟเอคัพและยูโรป้าลีกกับเชลซี ทำให้สามารถพูดได้ว่าโมราต้านั้นเป็นกองหน้าที่สัมผัสความสำเร็จมาอย่างโชกโชนคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

และอีกหนึ่งเหตุผลที่การกลับสู่ตูรินของโมราต้านั้นน่าสนใจก็คือ ตอนที่เขามาเล่นที่นี่ครั้งก่อนนั้นเพื่อนร่วมทีมของเขาคนหนึ่งก็คือผู้จัดการทีมคนปัจจุบันคือ อันเดรีย ปีร์โล่นั่นเอง ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็มีน่าที่ในการเล่นที่ค่อนข้างจะสอดรับกัน คือคนหนึ่งเป็นคนสร้างสรรค์และจ่ายบอล ส่วนอีกคนหนึ่งมีน่าที่จบสกอร์ดังนั้นเชื่อว่าปีร์โล่นั้นน่าจะเห็นอะไรในตัวอดีตรุ่นน้องในทีมคนนี้อย่างแน่นอนถึงได้ทำการดึงตัวกลับมาร่วมงานอีกครั้ง

การกลับมาในครั้งนี้จะทำให้อัลวาโร่ โมราต้าได้เล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่เป็นผู้เล่นระดับโลกอย่าง คริสเตียนโน่ โรนัลโด้และเปาโล ดีบาล่าอีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายน่าจะช่วยสนับสนุนกันได้เป็นอย่างดีเพราะการมีกองหน้าตัวเป้าอย่างเขาน่าจะทำให้จอมเทคนิคอย่างโรนัลโด้และดีบาล่าเล่นกันได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันการทำเกมรุกของสองคนนั้นก็น่าจะทำให้โมราต้าจบสกอร์ได้มากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน ดังนั้นน่าจะทำได้ดีกว่าสองฤดูกาล 15 เม็ด เหมือนการมาเล่นที่นี่ครั้งก่อนอย่างแน่นอน

ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงการปรับตัวให้เข้ากันระหว่างกุนซือคนใหม่อย่างอันเดรีย ปีร์โล่ กับลูกทีมของเขาทำให้ผลงานของทีมยังมีตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่การที่ได้กองหน้าฝีเท้าคุณภาพอย่างอัลวาโร่ โมราต้าเข้ามาเสริมทีม คงจะช่วยให้พวกเขาทำงานกันได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ที่เหลือก็แค่รอดูว่ากุนซืออย่างปีร์โล่นั้นจะใช้ประโยชน์พวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร เพราะหากดูจากรายชื่อที่มีนั้น ถ้าท็อปฟอร์มพร้อมกันเมื่อไหร่ก็ไม่น้อยหน้าทีมใดในโลกนี้เช่นกัน

post

“โนเล่” กลับมาแล้ว โนวัค ยอโควิชผงาดคว้าแชมป์อิตาเลี่ยน โอเพ่นสมัยที่ 5

ยังคงรักษาผลงานอันยอดเยี่ยมสมกับเป็นนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกในขณะนี้ สำหรับ “โนเล่” โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสหนุ่มวัย 33 ปีชาวเซอร์เบีย ที่สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันรายการเทนนิส อินเตอร์นาซิอองนาล บีเอ็นแอล ดี อิตาเลีย 2020 หรืออิตาเลี่ยน โอเพ่น 2020 มาครองได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากสามารถเอาชนะดีเอโก้ ซวาตซ์มัน มือวางอันดับที่ 8 ของโลกจากอาร์เจนติน่าไปได้ในนัดชิงชนะเลิศแบบสองเซ็ตรวด

การคว้าแชมป์รายการอิตาเลี่ยน โอเพ่นของโนวัค ยอโควิช ในครั้งนี้นอกจากจะทำให้เขาได้รับเงินรางวัลไปถึง 205,200 ยูโรหรือประมาณเจ็ดล้านหกแสนบาทแล้ว การคว้าแชมป์มาครองได้ครั้งนี้ยังเป็นตำแหน่งแชมป์สมัยที่ 5 ของเจ้าตัวในรายการนี้อีกด้วย ซึ่งมันก็ยังส่งผลทำให้เขาสามารถทำสถิติเป็นนักเทนนิสที่คว้าแชมป์เทนนิส เอทีพี ทัวร์ 1000 มาครองได้มากถึง 36 รายการด้วยกัน ทำให้โนวัค ยอโควิชสามารถทำลายสถิติเก่าที่ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสชาวสเปนเคยทำไว้เป็นที่เรียบร้อย

และที่สำคัญการกลับมาคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จนั้น มันเหมือนเป็นการฟื้นฟูสภาพจิตใจของเขาให้กลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่มีอุบัติเหตุจนต้องทำให้เขาถูกปรับแพ้ฟาล์วในการแข่งขัน ที่มีสาเหตุมาจากการที่ลูกบอลที่เขาหวดทิ้งเพื่อเป็นการระบายอารมณ์หงุดหงิดหลังจากถูกเบรกเกมเสิร์ฟนั้น มันดันพุ่งไปโดนบริเวณลำคอของผู้กำกับเส้นหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าอย่างจัง ซึ่งถึงแม้ว่าสุดท้ายเธอจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากและมีการขอโทษขอโพยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแต่ยังไงเขาก็ต้องถูกปรับแพ้ฟาล์วไปตามระเบียบอยู่ดี ซึ่งการคว้าแชมป์อิตาเลี่ยน โอเพ่นมาได้คงพอจะทำให้เขาลบฝันรายที่นิวยอร์กไปได้พอสมควร

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันเทนนิสรายการต่อไปก็คือรายการแกรนด์สแลม เฟรนซ์ โอเพ่น 2020 ที่สนามโรลองด์ การ์โรส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงวันที่ 21 กันยายน ถึงวันที่ 11 ตุลาคม ที่จะถึงนี้โดยรายการดังกล่าวมีเงินรางวัลรวม 38 ล้านยูโร ซึ่งเงินรางวัลของรายการลดลงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากผลกระทบจากการที่ไม่สามารถขายตั๋วเข้าชมได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศฝรั่งเศสก็นับว่าค่อนข้างจะมากพอสมควรนั่นเอง

การคว้าแชมป์รายการอิตาเลี่ยน โอเพ่น 2020 ของโนวัค ยอโควิช นั้น เป็นการตอกย้ำได้ดีถึงความยิ่งใหญ่สมกับตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของโลกในปัจจุบันของเขา และยังเป็นการเพิ่มสถิติให้เขาแซงหน้ารุ่นก่อน ๆ อย่างราฟาเอล นาดาลได้สำเร็จอีกด้วย มันก็คงจะพอทำให้ปีแห่งความโชคร้ายของเขาที่โดนทั้งโควิด-19 และอุบัติเหตุครั้งนั้นเล่นงาน กลายเป็นปีที่ยังคงสดใสให้พอได้มีรอยยิ้มขึ้นอีกมากเลยทีเดียว

post

ส่องฟอร์ม ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เด็กใหม่ของทัพปีศาจแดง

เชื่อว่าแฟนฟุตบอลของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทั่วโลกคงจะคาดหวังกันอย่างยิ่งว่าจะเห็นทีมอันเป็นที่รักของพวกเขา ทำการเสริมทัพแบบยิ่งใหญ่หรือทำการดึงผู้เล่นระดับบิ๊กเนมเข้ามา เพราะหากย้อนกลับไปดูผลงานในฤดูกาลก่อนแล้วจะเห็นว่ามีอีกหลายจุดเลยทีเดียวที่ทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์จะต้องทำการปรับปรุง และทีมเองก็มีข่าวเชื่อมโยงกับผู้เล่นระดับโลกหลายต่อหลายคน

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีดีลระดับนั้นเกิดขึ้นจริงเสียที และผู้เล่นที่ทางสโมสรทำการเปิดตัวกลับเป็นเพียงแค่ดาวรุ่งจากลีกฮอลแลนด์อย่าง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค คนเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งดู ๆ ไปแล้วมันก็ไม่เหมือนเป็นการดึงตัวเข้ามาแก้ปัญหาให้กับทีมอีกด้วยน่าจะเป็นการซื้อเพื่ออนาคตเสียมากกว่า เพราะในแผงกองกลางของทีมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนักนอกจากอาการบาดเจ็บและลูกงอแงของป็อกบาเท่านั้นเอง และตำแหน่งเขาดันไปทับกับสองผู้เล่นตัวหลักอย่างป็อกบากับบรูโน่โดยตรงอีกด้วย

แต่ไม่ว่าการดึงตัวกองกลางชาวดัตช์มาร่วมทีมในครั้งนี้จะเป็นเพราะจุดประสงค์ใด ตอนนี้เขาก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโรงละครแห่งความฝันแล้ว และจากผลงานที่ผ่านมาของเขาในลีกบ้านเกิดก็นับว่าเป็นนักเตะที่พอจะฝากอนาคตของทีมในระยะยาวได้ และกับทีมใหม่เขาก็มีโอกาสได้ลงสนามไปหลายนัดแล้วเช่นกัน และผลงานก็ดูจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่แต่อย่างใด

โดยในพรีเมียร์ลีกที่พึ่งจะมีการแข่งขันไปทั้งหมดแค่สองนัดนั้น ด้วยการที่เขาทัพตำแหน่งโดยตรงกับบรูโน่และป็อกบาทำให้เขายังไม่มีโอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเลย แต่ก็ได้รับโอกาสลงสัมผัสสนามทั้งสองเกมนานะตัวสำรอง และถึงแม้ว่าการลงสนามของเขาสองนัดจะรวมกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่เขาก็ยังสามารถทำได้หนึ่งประตู แถมนัดล่าสุดที่ชนะไบรจ์ตัน 3 ประตูต่อ 2 ที่เขาลงมาในนาทีสุดท้ายก็สามารถช่วยให้ทีมได้คอนเนอร์ที่นำไปสู่การได้จุดโทษและเป็นประตูชัยในที่สุดอีกด้วย

ส่วนอีกรายการคือคาราบาวคัพนั้นโอเล่ก็ให้โอกาส ฟาน เดอ เบ็ค ลงสนามเป็นตัวจริงทั้งสองนัดของรายการ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมเอาชนะได้ทั้งสองนัดคือการชนะลูตัน ทาวน์ และไบรจ์ตันด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งสองนัด และผลงานส่วนตัวของฟาน เดอ เบ็คก็สามารถเก็บมาได้อีกหนึ่งแอสซิสต์จากสองเกม

เมื่อดูจากการเริ่มต้นฤดูกาลของดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กับทีมใหม่ของเขาแล้ว ก็ต้องบอกว่าพอจะคาดหวังให้ผลงานของเขาช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับแผงกองกลางปีศาจแดง เพราะดูแล้วทักษะและสไตล์การเล่นของเขาเข้ากันได้อย่างดีกับกองกางพลังหนุ่มของผีแดง และถ้าหากว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์สามารถจัดการให้พวกเขาเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัวแล้วละก็ พลังการบุกจากแดนกลางของพวกเขาจะน่ากลัวขึ้นมากเลยทีเดียว

post

การคว้าตำแหน่ง “เอ็มวีพี” สองปีติดกันของ ยานนิส อันเทโทคูมโป

ได้คู่ที่จะดวลกันในรอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการแข่งขันบาสเก็ตบอล เอ็นบีเอ สหรัฐอเมริกา ลีกการแข่งขันบาสเก็ตบอลอาชีพที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคู่ที่จะได้ชิงในปีนี้ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อพอสมควร นั่นก็คือการพบกันระหว่างลอสแองเจลิส เลคเกอร์ พบกับ ไมอามี่ ฮีทนั่นเอง

แต่ถึงแม้ว่าในการพบกันระหว่างไมอามี่ ฮีทกับมิลวอกกี้ บัคส์ในรอบรองชนะเลิศ ในการชิงแชมป์สายตะวันออกนั่นจะเป็นทางฮีทที่สามารถเอาชนะไปได้อย่างขาดลอย (4-1เกม) และกรุยทางสู่รอบชิงได้ในที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำให้ตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าประจำฤดูกาลหรือรางวัล เอ็มวีพี ในปีนี้หลุดไปจากเงื้อมมือของเจ้ายักษ์กรีซ ยานนิส อันเทโทคูมโปฟอร์เวิร์ดดาวเด่นของมิลวอกกี้แต่อย่างใด และมันก็ทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาครองได้ถึงสองฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งยานนิสถือเป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่สามารถทำแบบสิ่งนี้ได้ ตามหลังผู้เล่นดาวดังอย่าง สตีเฟ่น เคอร์รี่, เลบรอน เจมส์, สตีฟ แนช, ทิม ดันแคน, ไมเคิล จอร์แดน, เมจิก จอห์นสัน, แลร์รี่ เบิร์ด, โมเสส มาโลน, คารีม อับดุล-จับบาร์, วิลท์ แชมเบอร์เลนและบิลล์ รัสเซล และนอกจากนี้แล้วเขายังเป็นผู้เล่นคนที่สามในประวัติศาสตร์เท่านั้นที่สามารถคว้าตำแหน่งเอ็มวีพีได้พร้อมกับการคว้าตำแหน่งผู้เล่นป้องกันยอดเยี่ยมได้ภายในปีเดียวกัน ต่อจากไมเคิล จอร์แดนและฮาคีม โอลาจูวอนอีกด้วย

สำหรับผลงานที่ส่งให้ยานนิส อันเทโทคูมโปสามารถคว้าตำแหน่งเอ็มวีพีได้ในฤดูกาลนี้ก็เพราะว่าในฤดูกาลปกตินั้นยานนิสสามารถระเบิดฟอร์มการเล่นของเขาได้อย่างสุดยอด โดยมีสถิติฤดูกาลปกติอยู่ที่ 29.5 คะแนน 13.6 รีบาวด์ และ5.6 แอสซิสต์ ต่อเกม ซึ่งสามารถพาบัคส์จบอันดับหนึ่งบนตารางสายตะวันออกในฤดูกาลปกติได้อีกด้วย และถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไปไม่ถึงฝั่งฝันมันก็เพียงพอให้เขาได้รางวัลเอ็มวีพีอยู่ดีนั่นเอง

ปัจจุบันนั้นยานนิส อันเทโทคูมโปนั้นพึ่งจะมีอายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งสำหรับวงการเอ็นบีเอนั้นก็ถือว่ายังน้อยมากและยังสามารถเล่นได้อีกนับสิบปีเลยทีเดียว และด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นแถมมีรางวัลมากมายการันตีฝีมือของเขาแบบนี้ รับรองได้เลยว่ามิลวอกกี้ บัคส์นั้นเหนื่อยแน่นอนในการที่จะหาทางรั้งตัวเขาไว้กับทีม เพราะทีมใหญ่หลาย ๆ ทีมคงจะจ้องฉกตัวเขาชนิดตาเป็นมัน และถ้าหากว่าบัคส์ไม่สามารถตอบสนองในด้านของความสำเร็จให้แก่เขาได้ การย้ายออกไปของเขาก็อาจจะเกิดขึ้น แล้วถ้าหากว่าเขาได้ไปร่วมทีมกับพวกซูเปอร์สตาร์แล้วละก็ รับรองได้เลยว่ามันจนแทบไม่อยากกระพริบตาอย่างแน่นอน