post

บอริส เบ็คเกอร์เสือสิ้นลาย

บอริส  เบ็คเกอร์ เป็นนักเทนนิสชาวเยอรมันที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1967  เทิร์นโปรในปี 1984 และโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อได้เป็นเจ้าของสถิติแชมป์เทนนิสวิมเบิลดันประเภทชายเดี่ยวขณะอายุได้เพียง 17 ปี 7 เดือนในปี 1986 และที่สำคัญคือการสามารถพาทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์เดวิส คัพ (เทนนิสประเภททีม)ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คือในปี 1988,1989 สองปีติดต่อกันจนสามารถครองมือวางอันดับ 1 ของโลกในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 12 สัปดาห์ในปี 1991 เบ็คเกอร์เป็นนักเทนนิสที่เล่นลูกเสิร์ฟได้อย่างรุนแรง จนมีฉายาว่า “บูมบูม”รวมถึงการตีโต้ด้วยโฟร์แฮนด์อย่างหนักหน่วง และการขึ้นวอลเลย์หน้าเน็ต

ยอดนักเทนนิสแห่งยุค

ยุคนั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยุคทองของวงการเทนนิส มียอดนักเทนนิสอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นจอห์น แม็คเอนโรหนึ่งในนักเทนนิสที่หลายคนยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาล อีวาน เลนเดิล, สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก, แมทท์ วิลันเดอร์, โธมัส มุสเตอร์,อังเดร อกัสซี่ ในยุคที่ยังไว้ผมยาวสลวยซึ่งทุกชื่อที่กล่าวมาต่างเคยเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกมาแล้วทุกนามไม่เฉพาะสไตล์การเล่นที่ดุดันของเบ็คเกอร์ การให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวก็ร้อนแรงเช่นกัน การออกมาตั้งคำถามถึงความเก่งกาจ ของโรเจอร์เฟเดอเรอร์นักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดกว่าใคร ๆ ในประวัติศาสตร์วงการเทนนิส ว่าหากเฟเดอเรอร์ ได้ใช้แร็คเก็ตแบบในอดีตจะสามารถเอาชนะจอห์น แม็คแอนโรได้หรือไม่?

สูงสุดคืนสู่สามัญ

 ช่วงเวลาที่เบ็คเกอร์โลดแล่นในคอร์ดสักหลาด เบ็คเกอร์สามารถคว้าแชมป์ได้ 6 แกรนด์สแลมและยังได้ชื่อว่าเป็น1ในนักเทนนิสที่ได้รับการวางให้เป็นมืออันดับ 1 ของโลก แต่หลังจากแขวนแร็กเกตเชีวิตที่เคยรุ่งเรืองของเบ็คเกอร์ก็ดูจะตกต่ำลงเรื่อย ๆ จะดูดีหน่อยก็ช่วงที่ผันตัวไปเป็นโค้ชให้แก่โนวัค ยอโควิชมือวางอัน 1 ของโลกคนปัจจุบันช่วงสั้น ๆ ในปี 2013 ถึง 2016 ชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงอีก กระทั่งต้องหย่ากับลิลลี่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอดีตนางแบบดัตช์ที่ใช้ชีวิตแต่งงานกันมากว่า 9 ปี จนในที่สุดกันบอริส เบ็คเกอร์ถึงขั้นต้องเอาถ้วยรางวัลและของที่ระลึกส่วนตัวออกมาประมูลขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ แต่ก็ไม่วายถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลายในปี 2017 โดยมีหนี้สินล้นพ้นตัวกว่า 44 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

ปัจจุบันเบ็คเกอร์ยังคงติดตามเชียร์บาเยิร์น มิวนิคสโมสรฟุตบอลชื่อดังที่เขารัก และเขายังทำงานอยู่ในวงการกีฬาหรือรับบทพิธีกรจำเป็นไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรคงไม่มีแฟนเทนนิสเยอรมันคนไหนลืมชื่อ “บอริส เบ็คเกอร์”เพราะสำหรับแฟนเทนนิสชาวเยอรมันแล้วเขาคือ “นักเทนนิสชายเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล”

post

มาร์ค มาเกวซ ไอ้มดแดงแรงฤทธิ์

แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริง ๆ กับมาร์ค มาเกวซ “ไอ้มดแดงแห่งเซอร์เวร่า” (Ant of Cervera) หรือฉายาที่คนไทยต้องเรียกติดปากว่า “เด็กระเบิด” เมื่อสามารถคว้าแชมป์โมโตจีพีรุ่น 500 ซีซี ได้เป็นสมัยที่ 5 และเป็น 3 สมัยติดต่อกันในวัยเพียง 26 ปีเทียบเท่ากับมิค ดูฮานอดีตยอดนักบิดชาวออสเตรเลีย แต่ยังตามหลังวาเลนติโน่ รอสซี่(7)และจิอันโคโม่ อกอสตินี่(8) อยู่ 2 และ 3 สมัยตามลำดับ แต่ด้วยอายุเพียง 26 ปีในปัจจุบัน เส้นทางการเป็นสุดยอดนักบิดที่ประสบความสำเร็จเหนือผู้ใดยังคงเปิดกว้างให้แก่ “MM23” มาร์ค มาเกวซอยู่เสมอ

บ้าบิ่นและเสี่ยงตาย

มาร์ค มาเกวซเกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1993 ในแคว้นคาตาลันประเทศสเปน โดยเฉพาะตัวใช้หมายเลข 93 เลขเดียวกับปีเกิดของเขาตลอดมามาเกวซได้ชื่อว่าเป็นนักบิดประเภทบ้าบิ่น กล้าได้กล้าเสียทำให้ต้องเจ็บตัวอยู่เสมอจนในบางครั้งก็มีผลทำให้ตนเองต้องพลาดแชมป์สำคัญจากสไตล์การขับขี่เช่นนี้ของเจ้าตัว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เทิร์นโปรขึ้นมาใหม่ ๆ ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลย การได้เห็นรอยแผลถลอกตามใบหน้าและตัวของเขาจึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ แม้ต่อมาเจ้าตัวจะดูลดความบ้าบิ่นลงไปมากแล้ว แต่ความเก่งกาจของเจ้าตัวก็ยังคงเป็นที่ประจักษ์ต่อแฟนนักบิดอยู่ตลอดเวลา เทคนิคที่แปลกใหม่ยากต่อการเลียนแบบ ติดตาผู้ชมในสนามและทางบ้านที่หลงใหลในความเร็วไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

ท้าทายความอัจฉริยะของ “เดอะ ดอกเตอร์”

“VR46” “เดอะ ด็อกเตอร์” คือฉายาของวาเลนติโน่ รอสซี่อดีตแชมป์โลก 7 สมัยที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะและเป็นนักปิดขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริงวัย 40 ปีกำลังถูกท้าทายในความสำเร็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนคลื่นลูกใหม่จะมาแรงแซงทางโค้งคลื่นลูกเก่าหรือไม่เราคงได้รู้กัน แต่ที่แน่ ๆ ในวันนี้คาตาลุนญ่าไม่ได้มีแค่บาร์เซโลน่าหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และมีแฟนติดตามอยู่ทั่วโลกเท่านั้น ยังมี “มาร์ค มาร์เกวซ” ยอดนักบิดที่ตัดสินใจเลือก “มด” เป็นสัตว์นำโชคของเขาที่เราจะเห็นได้เสมอบนหมวกกันน็อคที่เขาใส่ เขามองว่ามดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากแต่ในเวลาเดียวกันมันก็แข็งแกร่งมากเช่นกันเมื่อสามารถยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวของมันได้หลายเท่ารวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน และยังเป็นสิ่งเตือนใจให้เขารู้ว่าเขาต้องทำงานหนักอยู่เสมอเพราะนั่นจะเป็นหนทางเดียวที่จะนำชัยชนะมาให้เขา และสำหรับคาตาลุนญ่าเมืองเกิดของเขาแล้วความโด่งดังของเขาอาจจะเป็นรองก็จะมีเพียง “ลิโอแนล เมสซี่” เท่านั้นในวันนี้

post

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ แพะบ้าคัมแบ็กอีกครั้ง

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1948 (71ปี) เป็นเจ้าของสนามมุงเกอร์ดอร์เฟอร์ สตาดิโอน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ไรน์ เอเนอร์กี้” ที่มีความจุ 50,000 คน ในปัจจุบันมี วอเนอร์ สปินเนอร์เป็นประธานสโมสร และอาร์คิม ไบเออร์ โลเซอร์ เข้ามารับตำแหน่งต่อจากอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อฤดูกาลก่อน

หนึ่งในยักษ์หลับที่ถูกลืม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ หนึ่งในสโมสรชื่อดังในบุนเดสลีกาเยอรมันในยุค 1980 ถึง 1990 ได้กลับขึ้นมาเล่นใน บุนเดสลีกาลีกสูงสุดของเยอรมนีอีกครั้งหลังจากตกชั้นไปเพียงปีเดียว ทันทีที่บุกไปชนะกรอยเธอร์ เฟิร์ธถึง 4-0 ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา ก่อนคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 ได้ในที่สุด(เป็นสมัยที่4) ภายใต้การคุมทีมของอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวของทีม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ มีฉายาที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครว่า เดอะ บิลลี่ โกท (The Billy Goat) หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “แพะบ้า” โคโลญจน์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 ครั้งในปี 1963-64, 1977-78 และแชมป์เด เอฟ เบโพคาล หรือฟุตบอลถ้วยของเยอรมันได้อีก 4 ครั้ง คือ ในปี 1967-68,1976-77,1977-78,1982-83

ซึ่งแฟนฟุตบอลชาวไทยจำนวนไม่น้อยต่างรู้จักและติดตาม โดยได้สร้างนักเตะระดับตำนานเอาไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น โวล์ฟกัง โอเวอรัธ, แบรนด์ ชูสเตอร์, ปิแอร์ ลิทท์บาร์สกี้, เจอร์เก้น โคห์เลอร์, โทมัส เฮสเลอร์ โดยเฉพาะ ในตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่างโทนี่ ชูมัคเกอร์และโบโด อิล์กเนอร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งรายการพาทีมชาติเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่อิตาลีในปี 1990

อนาคตที่สดใสหรืออาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ เป็นสโมสรที่มีความพร้อมทุกอย่าง ที่จะก้าวขึ้นเป็นทีมลำดับต้น ๆ ในบุนเดสลีกาเยอรมัน โคโลญจน์เป็นเมืองใหญ่ มีสนามฟุตบอลที่สวยงาม มีรากฐานแฟนบอลที่เหนียวแน่นพร้อมให้กำลังใจทีมเสมอ ไม่ว่าทีม จะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ตาม และในชุดปัจจุบันนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงทีมที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นอีกครั้ง โคโลญจน์ก็ยังมี นักเตะที่น่าจับตามองอยู่อีกหลายคนอย่างโจนัส เฮคเตอร์ แบ็คซ้ายกัปตันทีมที่ติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ไปเล่นฟุตบอลโลกที่รัสเซียและติโม ฮอร์น นายทวารดาวรุ่งวัย 26 ที่พร้อมสืบตำนานตามรอยรุ่นพี่อย่างชูมัคเกอร์หรืออิล์กเนอร์

บุนเดสลีกาฤดูกาลใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2019 นี้ เอฟ.ซี.โคโลญจน์จะออกไปเยือนทีมคู่ปรับอย่างโวล์ฟบวร์ก เราคงจะได้เห็นฝีมือการทำทีมของโค้ชคนใหม่อย่างอาร์คิม ไบเออร์โลเซอร์ว่าเป็นอย่างไร หากทีมแพะบ้าสามารถมีแต้มกลับออกจากสนามโฟล์คสวาเก้น อารีน่าคงเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับสโมสรและแฟนบอลไม่น้อยเลยทีเดียว

post

โนวัค ยอโควิชกับ 5 ชั่วโมงเดือดก่อนคว้าแชมป์วิมเบิลดัน

โนวัค ยอโควิชยอดนักเทนนิสชาวเซอร์เบียมือวางอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 เป็นนักเทนนิสที่ได้รับการยอมรับว่าเล่นได้ดีในคอร์ดทุกประเภทโดยเฉพาะฮาร์ตคอร์ด เป็นนักเทนนิสที่มีถนัดการแบ็คแฮนด์เป็นทีเด็ดในการพิชิตคู่แข่ง และเป็นหนึ่งในสามนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปัจจุบัน (ราฟาเอล นาดาล,โรเจอร์ เฟเดอเรอร์)

บททดสอบสำคัญและการกลับมา

วันที่ 14 กรกฎาคม 2019 โนวัค ยอโควิชมือวางอันดับ 1 ของโลกวัย 32 สามารถป้องกันแชมป์ของเขาไว้ได้โดยเอาชนะหนึ่งในสุดยอดคู่ปรับอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์วัย 37 ปีไปอย่างดุเดือด 3-2 เซ็ท (7-6,1-6,7-6,4-6 และ13-12) คว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 5 ของเขาโดยใช้เวลายาวนานกว่า 4 ชั่วโมง 40 นาที

สำหรับโนวัค ยอโควิชแล้วถือเป็นบททดสอบที่สุดสำคัญหลังจากเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บที่ข้อศอกจนต้อง ทำการพักรักษาตัวไปเป็นระยะเวลานานกว่า 4 เดือนต้องเปลี่ยนโค้ชอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะการแยกทางกับอดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลกในอดีตทั้งสองคนอย่างบอริส เบ็คเกอร์และอังเดร อากัสซี่ สำหรับเกมส์นัดชิงชนะเลิศศึกวิมเบิลดันในครั้งนี้ ที่ยากขึ้นไปอีกก็คือผู้ชมในสนามก็ดูจะให้กำลังใจทางด้านโรเจอร์ เฟเดอเรอร์นักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดที่สูงวัยกว่า ให้กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในวัย 37 ปีมากกว่า จึงทำให้ความกดดันกระหน่ำถาโถมเข้าหาเจ้าตัวมากขึ้นไปอีก แต่ด้วยแรงใจสำคัญจากเยเลน่า ยอโควิชภรรยากับสเตฟาน ยอโควิชลูกชายวัย 3 ขวบและมาเรียน วาสด้าผู้กลับมารับตำแหน่งโค้ชคนปัจจุบันอีกครั้งของโนเล่ สุดท้ายแล้วโนวัค ยอโควิชก็ยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าจนฉันได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งของเขาและคว้าแชมป์ได้ในที่สุดโดยเฉพาะในเกมสุดท้ายที่เฉือนกัน 13-12 อย่างสุดตื่นเต้นทำเอาผู้ชมในสนามลุ้นจนแทบจะลืมหายใจกันเลยทีเดียว

เฟด-เอ็กซ์ถูกท้าทายอีกครั้ง

หลังจบเกมส์โนวัค ยอโควิชได้กล่าวชื่นชมคู่แข่งของเขาว่า “เฟดเดอเรอร์เล่นได้ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อในวัย 37 และกล่าวอย่างติดตลกว่าตัวเขาเองก็หวังว่าจะได้คว้าแชมป์ในวัย 37 เช่นกัน” จากชัยชนะสุดสำคัญนี้ทำให้โนวัค ยอโควิชได้ไปแล้ว 13 แกรนด์สแลมป์เวลานี้เขายังตามหลังโรเจอร์ เฟเดอเรอร์(20) อีก 7 แกรนด์สแลมป์ แม้ว่าหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และเส้นทางที่ยังดูไกลเกินเอื้อมถึง ในปลายเดือนหน้า(สิงหาคม)ศึกยูเอส โอเพ่นหนึ่งในแกรนด์สแลมป์สำคัญจะเริ่มขึ้น จะเป็นอะไรที่ทุกคนกลับมาจับตามองโนวัค ยอโควิชอีกครั้ง เพราะ “โนเล่” คนเดิมได้กลับมาแล้ว

post

อลิสซงนายประตูผู้คู่ควรบัลลงดอร์ สวมหมายเลข 13 พร้อมค่าตัวสถิติโลก

อลีสซง เบ็คเกอร์ผู้รักษาประตูหมายเลข 1 ทีมชาติบราซิลและสโมสรลิเวอร์พูลวัย 26 ปีเจ้าของความสูง 1.93 ซม. โดยในฤดูกาลที่แล้วเจ้าตัวย้ายจากโรม่ามาร่วมทีมหงส์แดงด้วยค่าตัว 66.8 ล้านปอนด์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถิติโลกในเวลานั้นท่ามกลางความสงสัยจากแฟนบอลที่มีต่อผู้รักษาประตูเครางามชาวแซมบ้าว่าจะแก้ปัญหาการเสียประตูของลิเวอร์พูลได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ลอริส คาริอุสและซิมงต์ มิณโญเล่ต์ผลัดกันก่อความผิดพลาดจนทำให้ยอดทีมจากอังกฤษต้องมือเปล่าในฤดูกาลก่อน

บทเรียนจากความผิดพลาดนำไปสู่ความสำเร็จ

ถึงแม้ว่าอลิสซงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทันทีที่ได้รับโอกาส และดูเหมือนจะเข้ามาอยู่ในหัวใจของเหล่าเดอะค็อปทันทีจนกระทั่งเกิดความผิดพลาดขึ้นในแมทช์ที่ลิเวอร์พูลพบกับเลสเตอร์จะด้วยความมั่นใจเกินไปเหรือความประมาทก็ตาม อลิสซงทำผิดพลาดจนนำไปสู่การเสียประตูแบบไม่คาดคิด ถือเป็นโชคดีที่ไหนตอนนั้นลิเวอร์พูลนำเลสเตอร์อยู่ 2 ประตูก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะของหงส์แดงในที่สุด แม้ว่าหลังเกมอลิสซงจะถูกแฟนของตนเองตำหนิอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ในความผิดพลาดนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในที่สุด เพราะหลังจากนั้นอลิสซงไม่เคยแสดงให้เห็น ถึงการเล่นประมาทหรือมั่นใจเกินเหตุอย่างที่เคย นอกจากจะไม่พลาดแล้วอลิสซงยังช่วยเซฟแต้มให้ลิเวอร์พูล  อย่างเป็นกอบเป็นกำและสร้างสถิติส่วนตัวขึ้นมากมาย เริ่มจากการรักษาคลีนชีตในฤดูกาล 2018-19 ได้ถึง 21 เกม        ทำลายสถิติเดิมของเปเป้ เรน่าที่ทำไว้ในฤดูกาล 2005-06 ลงอย่างราบคาบ โดยเจ้าตัวทำสถิติเทียบเท่าเอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์      ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ทำไว้เท่ากันในฤดูกาล 2008-09

คว้า 3 ถุงมือทองคำลุ้นเล็ก ๆ กับบัลลงดอร์

ถึงแม้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจะจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ไม่ใช่ลิเวอร์พูลของอลิสซงก็ตาม แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเก็บคลีนชีตไปถึง 6 นัดนอกจาก       จะทำให้เจ้าตัวคว้าถุงมือทองคำเป็นรางวัลที่ 2 ให้แก่ตนเองแล้วยังพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ใบใหญ่ที่สุดของยุโรป           ได้เป็นสมัยที่ 6 อีกด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นการลงเล่นฤดูกาลแรกให้กับสโมสร ไม่เพียงเท่านั้น ในฟุตบอลโคปาอเมริกา 2019 อลิสซงยังสามารถเก็บคลีนชีตได้ถึง 5 นัดกับบราซิล แม้ว่าในนัดชิงอลิสซงจะเสียประตูแรกให้แก่เปรูจากลูกจุดโทษอย่างน่าเสียดายแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ อลิสซง กลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกของโลกที่คว้ารางวัลถุงมือทองคำได้ 3 รายการภายในหนึ่งซีซั่น ด้วยความสำเร็จส่วนตัวรวมถึงจากสโมสรและระดับทีมชาติ ถึงแม้จะมีโอกาสไม่มาก แต่อลิสซง เบ็คเกอร์อาจจะเป็นผู้รักษาประตูคนที่สองต่อจากเลฟ ยาชินที่เคยคว้ารางวัลนี้ในปี 1963 เพียงครั้งเดียวในตำแหน่งนี้

post

ครอบครัวฉลองวันเกิดชูมัคเกอร์ครบ 50 ปี

มิชาเอล ชูมัคเกอร์ นักแข่งรถ F1 ชาวเยอรมัน ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยคว้าตำแหน่งแชมป์โลก 7 สมัย เขาเกิดวันที่ 3 มกราคม 1969 ฉายาของเขาคือ “Rain King” เพราะในสภาพอากาศที่เลวร้ายเขายังควบคุมรถได้อย่างแม่นยำและมักจะเป็นผู้ชนะในรายการแข่งขันช่วงฝนตกอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้เขายังมีอีกหนึ่งฉายาคือ “The Red baron” เพราะเขามักจะปรากฏตัวพร้อมกับรถเฟอรารี่สีแดงของเขาอยู่เสมอ

การอำลาวงการที่ไม่มีใครคาดคิด

ไม่มีใครสงสัยในฝีมือการขับขี่ของชูมัคเกอร์และทุก ๆ ชัยชนะที่เขาได้รับ หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานจนกระทั่งพ่ายแพ้ให้แก่เฟอนันโด อลอนโซ่นักขับชาวสเปนจากทีมเรย์โนลด์ ชูมัคเกอร์ก็ประกาศอำลาวงการสร้างความช็อกให้กับคนทั้งโลก โดยหันไปเอาดีทางการแข่งขันเกี่ยวกับความเร็วด้านอื่นเช่น มอเตอร์ไบค์แทน ซึ่งนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งปี 2010 ชูมัคเกอร์กลับสู่วงการแข่งรถอีกครั้งโดยตกลงเซ็นสัญญากับทีมเมอร์เซเดส แต่ผลงานของเจ้าตัวกลับเลวร้ายสุด ๆ จนถึงปี 2012 ถึงประกาศอำลาวงการรถสูตรหนึ่งอีก มีข่าวลือว่าฝีมือที่ตกต่ำลงเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุในการแข่งขันรถมอเตอร์ไบค์ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ

สกีจุดเริ่มต้นของจุดจบ

หลังอำลาวงการคำรบที่สอง ชูมัคเกอร์หันไปเล่นสกีซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขารัก และในวันที่ 29 ธันวาคม 2013 ชูมัคเกอร์ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกี ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้นเขาสะดุดและล้มลงศีรษะกระแทกเข้ากับโขดหินและได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง จนภายหลังเจ้าตัวได้รับการผ่าสมองถึง 2 ครั้ง แต่ยังอยู่ในอาการโคม่า ข่าวการประสบอุบัติเหตุของชูมัคเกอร์ได้รับความสนใจจากชาวเยอรมันนับล้านคน ตลอดเวลาที่ชูมัคเกอร์พักรักษาตัวไม่เคยปรากฏข่าวหรือรายละเอียดการรักษาตัวของเขาอีกเลยโดยสื่อมวลชนได้รับเพียงสารจากผู้จัดการส่วนตัวของเขาว่าชูมัคเกอร์ฟื้นจากอาการโคม่าแล้ว และขอให้เคารพในความเป็นส่วนตัวของเขา หลังจากนั้นไม่ปรากฏข่าวคราวของเขาเลย

ปริศนาและข่าวลือ

ปี 2014 ผู้จัดการส่วนตัวให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อทีวีว่าชูมัคเกอร์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลใด ๆ มากกว่านี้หลายสื่อให้ข่าวแตกต่างกันไปมีบางสื่อบอกว่าเขากลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว ไม่นานทุกอย่างก็ถูกลืมไปเช่นเดิม แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นชูมัคเกอร์โลดแล่นอยู่ในสนามแข่งรถสูตรหนึ่งที่คุ้นตาอีกแล้ว แต่เขาก็เข้าได้เข้าร่วมองค์กรยูนิเซฟเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนขับขี่อย่างปลอดภัย ชีวิตและเรื่องราวของเขาปัจจุบันกำลังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และสารคดีในไม่ช้า เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้รู้จักราชันแห่งผู้ขับขี่รถซิ่งฉายาเดอะ เรด บารอนหรือตามที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ไส้กรอกบิน”มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

post

มัลดินี่ ตระกูลคู่บารมีเอซี มิลาน

ในโลกของฟุตบอลตั้งแต่ปี 1954 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อ “ตระกูลมัลดินี่” ตระกูล นักฟุตบอลอันยิ่งใหญ่สัญชาติอิตาเลียนต่างสโมสรเสื้อสีแดง-ดำ (รอสโซเนรี่) นามระบืออย่าง “เอซี มิลาน”

เริ่มต้นจากปี 1954 เป็นปีแรกเซซาเร่ มัลดินี่ยอดกองหลังที่ต่อมาเป็นตำนานให้แก่ทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน เริ่มประเดิมสนามเป็นปีแรกให้กับทีมปีศาจแดง-ดำแห่งกัลโช่เซเรียอา เซซาเร่ มัลดินี่ติดทีมชาติอิตาลี 14 นัดลงสนามให้เอซี มิลานไปถึง 347 นัดในลีกและรวมทั้งสิ้น 412 นัด พาทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์เซเรียอา 4 สมัยและยูโรเปี้ยนคัพหรือ ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน 1 สมัย ที่พิเศษกว่านั้นเซซาเร่ มัลดินี่ยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์คัพวินเนอร์มาแล้วในปี 1972-73 และแชมป์โคปปาอิตาเลียในปีเดียวกัน ปัจจุบันเซซาร์ มัลดินี่ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 84 ปี

จากเซซาเร่ ถึงเปาโล

 หากจะมีนักฟุตบอลสักคนหนึ่งที่ได้รับการชื่นชมจากทุกสารทิศและการยอมรับอย่างยาวนานและสร้างสถิติต่าง ๆ เอาไว้อย่างมากมาย ต้องมีชื่อของเปาโล มัลดินี่อดีตกัปตันทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน มัลดินี่ในเจนเนอเรชันที่ 2 เคยทำสถิติติดทีมชาติอิตาลีเอาไว้ถึง 126 นัดและยังทำสถิติลงเล่นให้สโมสรต้นสังกัดอย่างเอซี มิลานถึง 647 นัด มากที่สุดตลอดกาลจนยากที่จะมีใครมาทำลายได้ เปาโลเล่นกองหลังเช่นเดียวกับเซซาเร่บิดาของเขาสร้างชื่อจากตำแหน่งแบ็คซ้ายทั้ง ๆ ที่ตนเองถนัดเท้าขวาและสร้างผลงานได้ดีตลอดมาในทุกตำแหน่งที่ได้ลงเล่น เปาโลประสบความสำเร็จ ในทุกการแข่งขันที่ลงเล่นโดยเฉพาะกับสโมสร แต่สำหรับทีมชาติเขาค่อนข้างโชคร้ายที่พาทีมชาติอิตาลีได้เพียงรอง แชมป์โลกในปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา โดยแพ้ในการโดนจุดโทษให้แก่บราซิลและได้เพียงแค่รองแชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรปในปี 2000 ด้วยประตู golden goal จากดาวิด เทรเซเกต์ของฝรั่งเศส ภายหลังเมื่อเปาโล มัลดินี่เลิกเล่นฟุตบอลสโมสร เอซี มิลานได้ยกเลิกการใช้หมายเลข 3 เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เจ้าตัวอีกด้วย ในปัจจุบันเปาโล มัลดินี่รับตำแหน่ง เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กลับต้นสังกัดเดิมและเป็นต้นสังกัดเดียวของเขา

อนาคตของ(ตระกูล)มัลดินี่กับคริสเตียนและดาเนียล

คริสเตียน มัลดินี่ยังคงเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังเช่นเดียวกับปู่ (เซซาเร่) และพ่อ (เปาโล) ของเขา แต่เส้นทางลูกหนังของเขากลับยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ คริสเตียนอายุ 23 ปีแม้จะเคยมีประสบการณ์ในทีมเยาวชนของมิลานอยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้ลงสนามในลีกสูงสุดของอิตาลีเลยแม้แต่นัดเดียว ปัจจุบันคริสเตียนลงเล่นทีม “ฟาโน” ทีมระดับเซเรียซี สำหรับดาเนียล มัลดินี่ลูกชายคนเล็กของเปาโลและน้องชายของคริสเตียนดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย เมื่อเจ้าตัวได้รับโอกาสลงเล่นให้เอซี มิลานชุดใหญ่ในเกมอุ่นเครื่องพบบาเยิร์น มิวนิคเมื่อวันพุธที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหนูดาเนียล วัย 17 ปีเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายแสดงให้เห็นถึงเทคนิคแพรวพราวให้แฟนบอลได้พูดถึงและดูมีอะไร ให้หวังบ้างหลังจากที่เอซี มิลานประสบปัญหาภายในสโมสรและสร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนาน อีกไม่นานเราคง ได้รู้กันว่ามัลดินี่คนที่ 4 จะเป็นลูกไม้ที่หล่นใกล้หรือไกลต้น

post

ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์กับความเก่ง+รวยที่ไม่ธรรมดา

หากจะกล่าวถึงนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพและร่ำรวยเงินทองแบบสุด ๆ คงจะไม่มีใครเกิน     ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ยอดนักมวยชาวอเมริกันผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกถึง 5 รุ่นที่ไม่เคยเสมอหรือแพ้ใครเลยตลอดอาชีพการชกมวยอาชีพ  

ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1977 ครอบครัวของเขานับได้ว่าเป็นตระกูลนักมวยอย่างแท้จริงเขาเป็นหลานของโรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ ที่เคยเป็นแชมป์โลกมาแล้วเช่นกัน ในตอนที่เขาลงชิงชัยในสังเวียนช่วงเวลาแรกปี 1966 ฟลอยด์แพ้ให้แก่โทโดรอฟ นักชกชาวบัลแกเรียในรายการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1996 แบบฉิวเฉียด 8-10 ทำให้ได้รับเพียงแค่เหรียญทองแดงเท่านั้น ก่อนที่โทโดรอฟจะได้ขึ้นชิงกับสมรักษ์ คำสิงห์(พิมพ์อรัญเล็ก ศิษฐ์อรัญ)ยอดนักมวยไทยที่เปลี่ยนมาชกมวยสากลสมัครเล่นชาวไทยและแพ้ไปในที่สุด ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มีฉายาว่า “พริตตี้ บอย”(pretty boy) เพราะเขาเป็นนักมวยที่สายตาดี สามารถหลบหลีกและป้องกันตนเองได้เก่งมากและยังเคยได้รับการยกย่องจากนิตยสารเดอะ ริงว่าเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดหากเทียบกันกับปอนด์ในขณะนั้นอีกด้วย

ขึ้นทำเทียบนักมวยหมื่นล้าน

นอกจากฝีมือการชกบนสังเวียนแล้วฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าตนเองเป็นนักกีฬาที่หาเงินเก่งมากเพียงใด ทั้งการสร้างแบรนด์เสื้อผ้ารวมถึงแฟชั่นอื่น ๆ เป็นของตนเองและก็ลงทุนทำธุรกิจต่าง ๆ ทั้งในอเมริกันและเอเชียหรือการขึ้นชกในแต่ละแมทช์ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปเสียทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการชกกับแมนนี่ ปาเกียว, คอร์เนอร์ แม็คเกรเกอร์ก็ดูจะเป็นเรื่องของเงินมากกว่าเรื่องของหมัดมวย ในปี 2018 ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ได้รับการจัดอันดับของนิตยสารทางการเงินชื่อดังของอเมริกัน “ฟอร์บส์” ให้เป็นนักกีฬาที่รวยที่สุดในโลกเหนือกว่ายอดนักกีฬาประเภทอื่น ๆ ทุก ๆ คนบนโลกใบนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งลิโอแนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์หรือไทเกอร์ วู้ดก็ตาม

ความเก่งกับเสียงวิจารณ์

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์จะประกาศอำลาเวทีมวยอย่างเป็นทางการหลังจากการชกกับอังเดร เบอร์โตนักชกชาวอเมริกันไปแล้วก็ตาม โดยเจ้าตัวทำสถิติชนะรวดเทียบเท่าไหร่ร็อคกี้ มาร์เซียโน่อดีตนักชกผิวขาวชาวอเมริกา 49 ไฟท์ แต่กระนั้นเจ้าตัวมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ จากการเป็นนักมวยที่ชอบตั้งรับ ชกมวยที่น่าเบื่อชวนหลับและนิสัยอวดร่ำอวดรวยของตน อย่างไรก็ดีว่าแม้ว่าฟลอยด์จะประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ยังคงเป็นนักชกที่ถูกนำไปพูดถึงในแมทช์การชกใหญ่ ๆ แทบจะทุกครั้งไม่ว่ากับนักมวยคนใดก็ตาม ความคาดหวังของแฟนหมัดมวยที่จะได้เห็น “ฟลอย เมย์เวเธอร์ จูเนียร์” กลับมาชกไฟท์ที่ 51 หรือไม่คงจะมีเพียงตัวฟลอยด์เท่านั้นที่ตอบได้

post

นาบี เฟคีร์กับเส้นทางใหม่ที่แสนเซอร์ไพรส์

รู้จัก”นาบี เฟคีร์”

เกิดเมื่อ 18 กรกฎาคม 1993 (26 ปี) เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสหนึ่งในผลผลิตจากทีมชุดเยาวชนของ โอลิมปิกลียง โดยสามารถเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกและปีก เฟคีร์เป็นผู้เล่นที่จ่ายบอลได้ดีและยังยิงประตูได้ดีอีกด้วย เฟคีร์ได้รับปลอกแขนกัปตันทีมลียงในปี 2017 หลังจากที่เล่นให้ทีมยักษ์ลีกเอิงไปแล้วกว่า 140 นัด และได้ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพอาชีพนักฟุตบอล เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่พา “เลส์ เบลอส์” ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก ในปี 2018 ในฟุตบอลโลกที่รัสเซียอย่างยิ่งใหญ่ ปัจจุบันเจ้าตัวติดทีมชาติไปแล้ว 21 นัด ยิงได้ 2 ประตู นาบี เฟคีร์ มีน้องชายอีกคนคือ ยัสซิน เฟคีร์ วัย 22 ปี ซึ่งเล่นในตำแหน่งเดียวกัน และได้ย้ายมาร่วมทีม”เรอัล เบติส”พร้อมกัน

หลังจากมีข่าวย้ายกับทีมดังหลาย ๆ ทีมโดยเฉพาะ”หงส์แดง”ลิเวอร์พูล 1 ในทีมยอดนิยมของแฟนบอลไทย ในฤดูกาลที่แล้ว จนเกือบจะได้มีการเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวกว่า 60 ล้านยูโร แต่ทุกอย่างเป็นอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อถูกตรวจพบว่าเจ้าตัวยังมีปัญหาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า แต่ในตลอดฤดูกาลนี้เฟคีร์กลับลงเล่นให้”โอลิมปิก ลียง” ต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่อย่างใด

เฟคีร์กับลิเวอร์พูล ปลายทางที่เรอัล เบติส

เมื่อตลาดซื้อ-ขายนักเตะเปิดตัว มิดฟิลด์แชมป์โลกชาวฝรั่งเศสคนเดิมกลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูลยังคงพยายามที่จะตามหากองกลางที่สามารถปั้นเกมส์มาแทน “ฟิลิปเป้ คูติญโญ่” ที่ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ชื่อของ “นาบี เฟคีร์” จึงถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ โดยเฉพาะการแข่งขันลีกเอิงที่จบลงไป “นาบี เฟคีร์” จึงดูเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างมากเพื่อเป็นตัวแทน 3 แนวรุก พระกาฬที่ใคร ๆ ต่างครั่นคร้ามอย่าง มาเน่-ฟีร์มิโน่-ซาลาร์ ของทีมหงส์แดงในเวลาที่คับขัน หรือทีมต้องการโรเตชั่น ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าเดิม เพราะสัญญาการค้าแข้งของเฟคีร์และต้นสังกัดลดลงเหลือเพียง 1 ปี

วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นาบี เฟคีร์ตกลงย้ายซบ “เรอัล เบติส” อย่างเป็นทางการด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านยูโรเท่านั้น พร้อมออปชั่นเสริมอีก 10 ล้านยูโร และแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการขายให้กับลียงต้นสังกัดเดิม 20% โดยเซ็นสัญญายาวถึง 4 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวเซอร์ไพรส์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากข้อเสนอ 60 ล้านยูโรจากลิเวอร์พูลที่อาจะเป็นเพียง ข่าวลือนั้นไม่สามารถบรรจบกันได้ในที่สุด

บทสรุปอนาคต

เฟคีร์ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่ทำได้ดีหลาย ๆ ตำแหน่งในแนวรุก และทุ่มเทในทุก ๆ สีเสื้อที่ลงเล่น ทำให้โอกาสที่เจ้าตัวจะโชว์ฟอร์มได้ดีและประสบความสำเร็จกับต้นสังกัดอย่างเรอัล เบติส ซึ่งเป็นทีมระดับกลางในลาลีกามีไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะได้เล่นร่วมกับ “โจวานี่ โล เซลโซ่” มิดฟิลด์ทีมชาติอาร์เจนติน่าที่กำลังโชว์ฟอร์มร้อนแรงจนมีข่าวว่าจะย้ายไปร่วมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส 1 ในยอดทีมพรีเมียร์ลีกเช่นกันหรือไม่ก็ตามและด้วยออปชั่นการขายเฟคีร์จากลียง ที่จะได้รับส่วนแบ่งถึง 20% ทันทีเมื่อเฟคีร์ย้ายทีมในครั้งต่อไป บางที”นาบี เฟคีส์”อาจจะเพียงแค่ย้ายมาชุบตัวเพิ่มมูลค่าให้แก่ตนเองรอเวลาขายเพื่อเอากำไรกับสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปต่อไป

post

Bayley กับความฝันอันไม่รู้จบของนักมวยปล้ำสาว

“พาเมล่า โรส มาร์ติเนซ” เกิด 15 มิถุนายน ค.ศ.1989 (30ปี) เป็นนักมวยปล้ำหญิงอาชีพชาวอเมริกันภายใต้สมาคมWWE ในชื่อ “เบลี่ย์”

การพัฒนาและปฏิวัติมวยปล้ำหญิงของWWE

ในช่วงเวลาที่ WWE พยายามพัฒนามวยปล้ำหญิงอย่างจริงจังโดยมี “เพจ”(Paige) ที่ถูกผลักดันประสบความสำเร็จอย่างสูงไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยการสนับสนุนของ ทริปเปิ้ลเอช (Triple H) หนึ่งในสุดยอดนักมวยปล้ำผู้เป็นทั้งลูกเขยและผู้บริหารคนดังของสมาคมการปฏิวัติแห่งวงการมวยปล้ำหญิงได้สร้าง Women’s Revolution ทั้งหมดขึ้นชั้นมาจาก NXT อีกหนึ่งสมาคมอันเลื่องชื่อที่มีนักมวยปล้ำดาวรุ่งยอดฝีมืออยู่หลายรายและแฟนมวยปล้ำผู้ติดตามอีกจำนวนมาก โดยทีมประกอบด้วยชาร์ลอตต์ แฟลร์(ลูกสาวแท้ ๆ ของริค แฟลร์สุดยอดนักมวยปล้ำตลอดกาล),ซาช่า แบงค์ส, เบ็คกี้ ลินช์(แชมป์โลกหญิงฝั่ง RAW คนปัจจุบันและเบลี่ย์ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามด้วยฝีไม้ลายมือทักษะของมวยปล้ำทำได้ดีไม่แพ้นักมวยปล้ำชายเลย โดยเฉพาะในแมทช์ Iron man (ไออน แมน แมทช์) ที่ต้องใช้เวลาการปล้ำถึง 30 นาที โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการมวยปล้ำหญิงมาก่อนระหว่างซาช่า แบงค์ส VS เบลี่ย์  ซึ่งแมทช์ดังกล่าวถูกบรรจุเอาไว้ในนิตยสาร PWI ให้เป็นหนึ่งในแมทช์การปล้ำที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วย

ฝันเป็นจริง

สำหรับ “เบลี่ย์” แล้ว ลิต้า, เอ็ดดี้ เกร์เรโร่และแรนดี้ ซาเวซ คือฮีโร่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอได้ตัดสินใจที่จะนำเอกลักษณ์ของนักมวยปล้ำยุค 80-90 มาเป็นส่วนหนึ่งในคาแรคเตอร์ของเธอด้วยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่เธอสวมใส่ในการเปิดตัวและท่าไม้ตายด้วยการกระโดดทิ้งศอก อันเป็นสัญลักษณ์ของ แรนดี้ ซาเวจอีกหนึ่งยอดนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จตลอดกาลผู้ล่วงลับและเธอสามารถทำได้ย่างงดงาม กลมกลืน มีชีวิตชีวาเสมอ และแล้ววันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2017 เบลี่ย์ก็ทำสิ่งที่ เธอฝันมาตลอดในชีวิตสำเร็จ เมื่อเธอสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์มวยปล้ำหญิงจากสมาคมฝั่ง RAW ด้วยการเอาชนะขาใหญ่ในวงการอย่างชาร์ลอตต์ แฟลร์ลงได้สำเร็จและยังสามารถคว้าแชมป์โลกหญิงประเภทแท็กทีมร่วมกับซาช่า แบงค์สเพื่อนรักของเธอได้อีกหลังจากนั้น

ปัจจุบันและอนาคต

หลังจากเบลี่ย์ที่เป็นผู้ชนะในรายการ มันนี่ อินเดอะ แบงค์ (money in the bank) หนึ่งในรายการใหญ่ยอดนิยมที่มักจะนำพาให้ผู้ชนะได้เป็นแชมป์โลกคนต่อไปด้วยสิทธิ์ในการใช้กระเป๋าเพื่อชิงแชมป์โลกได้ในทุกเวลาและเป็นอีกครั้งที่เธอทำได้สำเร็จเมื่อเธอเอาชนะชาร์ล็อตต์ แฟลร์คู่ปรับคนเดิมคว้าแชมป์โลกหญิงของสมาคมฝั่ง Smackdown ด้วยการใช้กระเป๋าของเธอ และครองแชมป์โลกมาจนถึงปัจจุบันนี้ เหมือนครั้งหนึ่งที่ทริปเปิ้ล เอช (TRIPPLE H) ผู้ที่มีส่วนอย่างมากในการพัฒนาและผลักดันในช่วงแรก ๆ ว่า “ผู้หญิงควรจะได้ทำอะไรในหลายสิ่งที่ว่าพวกเธออยากทำ และผู้คนจะได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝันอีกมาก” ปัจจุบันมวยปล้ำหญิงเป็นอีกหนึ่งโชว์ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเช่นเดียวกับตัวเธอ