post

เลบรอน เจมส์กับฉายาคิง ออฟ เอ็นบีเอที่คู่ควร?

เลบรอนส์ เจมส์ คือยอดนักบาสเกตบอลอาชีพของ NBA ซึ่งปัจจุบันสังกัดทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1984 สามารถเล่นในตำแหน่ง small forward หรือ power forward ได้ดีทั้ง 2 ในตำแหน่ง เลบรอน เจมส์ถูกดราฟฟ์มาเป็นคนแรกในปี 2003 โดยคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สและฉายแววความเป็นยอดนักบาสทันทีมือคว้าตำแหน่ง rookie of the year (ผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) ในปีแรกของเขาได้ในทันที

สถิติส่วนตัวกับการย้ายทีม

เลบรอน เจมส์สร้างสถิติเอาไว้ในปีแรกกับคาวาเลียร์ทันที เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ทำทริปเปิ้ล ดับเบิ้ลซึ่งคือการทำแต้ม, รีบาวน์และแอสซิสต์ ได้ 10 ครั้งในแมทช์เดียวกัน, และยังเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำแต้มได้ถึง 50 ได้อีกด้วย แต่องค์ประกอบของทีมคาวาเลียร์สที่ดูแล้วอาจจะยากเกินไปกับความสำเร็จ รวมถึงการที่เจมส์มีเพื่อนสนิทเป็นยอดนักบาสหลาย ๆ คนทำให้เขาเลือกย้ายสังกัดมาร่วมทีมที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือไมอามี่ ฮีท ซึ่งฮีท ในยุคนั้นแทบจะเป็นดรีมทีมย่อม ๆ ในทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลา 2010-2014 เจมส์และเพื่อนรวมทีมใหม่ของเขาก็ไม่ทำให้แฟนบาสเกตบอลชาวไมอามี่ต้องผิดหวัง เมื่อสามารถพาทีมเข้าชิง NBA ได้ถึง 4 ปีติดและคว้าแชมป์มาได้ 2 ครั้งก่อนที่เขาจะย้ายกลับสู่คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สทีมแรกของเขาใน NBA อีกครั้ง

แชมป์NBAครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคาวาเลียร์

4 ปีที่แล้วเลบรอน เจมส์เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมไมอามี่ ฮีทเข้าชิง NBA ทำให้เจมส์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักบาสเกตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่การที่เจมส์พาทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สเข้าชิง NBA อย่างต่อเนื่องอีก 4 ปีติดต่อกัน ช่างเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ และแม้ว่าสุดท้ายแล้วคาวาเลียร์ของเลบรอน เจมส์จะเอาชนะโกลเด้นสเตทวอร์ริเออร์สคู่ชิงของพวกเขาทั้ง 4 ปีได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่นั่นก็คือแชมป์เอ็นบีเอครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคลีฟแลนด์ และเลบรอน เจมส์ได้ย้ายสังกัดอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์บาสเกตบอล NBA กับทีมยักษ์แห่งวงการบาสเกตบอลอย่างลอสแองเจลิส เลเกอร์ส โดยสัญญา 5 ปีของเขารับทรัพย์ไปถึง 88 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 5,500 บาทไทยเลยทีเดียว ซึ่งเหตุผลหนึ่งนอกจากเรื่องเงินแล้วอาจจะเป็นเหตุผลเดิมที่เขาตัดสินใจย้ายจากคาวาเลียร์สไปฮีท นั่นคือองค์ประกอบทีมที่อาจจะยากแต่ความสำเร็จเสียแล้วเพราะการเข้าชิง NBA ใน 2 ฤดูกาลหลังพวกเขาเอาชนะวอริเออร์ได้เพียง 1 ใน 9 เกมเท่านั้น

โคบี้ ไบรอันและไมเคิล จอร์แดน

การถูกนำไปเปรียบเทียบกับยอดนักบาสเกตบอลโคบี้ไบรอันและราชาวงการฟุตบอลอย่างไมเคิล จอร์แดน กลายเป็นเรื่องไม่เกินจริงเสียแล้ว แม้จะมีค่อนแคะ เหน็บแนมจากแฟนบอลส่วนหนึ่งว่าความสำเร็จของเลบรอน เจมส์มาจากการองค์ประกอบของทีมที่เขาอยู่เสียมากกว่า ซึ่งต่างจากในยุคของไมเคิล จอร์แดนซึ่งจอร์แดนใช้เวลายาวนานอย่างมากกว่าจะพาชิคาโก้ บูลส์ทีมขวัญใจอดีตประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบามาซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย คว้าแชมป์ NBA ได้ถึง 6 ครั้งและเป็นชัยชนะทั้งหมดในทุกครั้งที่ได้เข้าชิงการเปรียบเทียบผลงานนักกีฬาในยุคเก่าไหมอาจจะเป็นการเปรียบเทียบที่ยากบางทีนี่อาจจะเป็นเหมือนการเปรียบเทียบระหว่างดีเอโก้ มาราโดน่ากับลิโอเนลเมสซี่ในวงการฟุตบอลหรือจอห์น แม็คแอนโรกับโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ไม่สามารถสรุปผลได้เช่นกันเลบรอน เจมส์และไมเคิล จอร์แดน ว่าใครจะเป็นเบอร์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการบาสเกตบอล

post

ได้เวลาจัดด์ ทรัมป์ โชว์ฝีมือให้โลกรู้

จัดด์ ทรัมป์ เขาคือนักสนุกเกอร์ชาวอังกฤษ แชมป์โลกคนคนล่าสุดวัย 30 ปี เกิดเมื่อ 20 สิงหาคม 1989 ทรัมป์มีหลายฉายาในวงการเช่น มร.แฮร์คัท, เดอะ เอช (the ace) แต่ฉายาที่คนไทยตั้งและน่าจะเหมาะกับเจ้าตัวเป็นอย่างมากคือ “เพชฌฆาตปืนกล” อันเนื่องมาจากสไตล์การแทงสนุกเกอร์ที่รวดเร็ว รุนแรงแม่นยำ ที่หาดูได้ยากในยุคปัจจุบันนั้น

หนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการ

อาลี ฮันเตอร์, แมทธิว สตีเว่น, แบรี่ ฮอร์กิ้น หรือแม้แต่ดิง จินฮุย ชื่อเหล่านี้คืออดีตดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการสนุกเกอร์ ผู้เคยได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นยอดนักสนุกเกอร์แถวหน้าของโลกเหมือนที่สตีฟ เดวิส, สตีเฟ่น เฮนดรี้และรอนนี่ โอซุลลิแวนได้สร้างผลงานเอาไว้ แต่สุดท้ายมีอีกหลายชื่อที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน และมีอีกหลายชื่อที่โอกาสของเขาเหลืออีกไม่มากกับตำแหน่งแชมป์โลกที่นักสนุกเกอร์ทุกคนใฝ่ฝัน จัดด์ ทรัมป์เองก็เป็นเช่นนั้น เขาเหมือนมาร์ค เซลบี้แชมป์โลกสนุกเกอร์สามสมัย ที่เคยได้ชิงแชมป์โลกตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อนัดชิงให้กับรอนนี่ โอซุลลิแวน ส่วนจัดด์ ทรัมป์ เขาแพ้ให้กับจอห์น ฮิกกิ้น ผู้เป็นหนึ่งในนักสนุกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งในวงการ และเป็นแชมป์โลก 4 สมัยที่สำคัญเขาคือคู่ชิงในปี 2018 ที่จัดด์ ทรัมป์สามารถแก้มือเอาชนะและคว้าแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกในที่สุด

หนึ่งในนักสนุกเกอร์ขวัญใจ

เมื่อรอนนี่ โอซุลลิแวนนักสนุกเกอร์ที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์สูงกว่านักสนุกเกอร์คนใดในประวัติศาสตร์และเป็นผู้ที่มีแฟนสนุกเกอร์ติดตามมากที่สุดตลอดหลายสิบปีอยู่ในช่วงใกล้ปลดระวางเต็มที โอกาสจึงเปิดกว้างให้แก่นักสนุกเกอร์คนอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสจ๊วต บิงแฮมแชมป์โลกเมื่อ 3 ปีก่อนซึ่งได้เข้าชิงแชมป์โลกครั้งแรกเมื่ออายุขึ้นต้นด้วยเลขสี่แล้วหรือมาร์ค วิลเลี่ยมอดีตแชมป์โลกที่กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งเมื่อปีก่อน และมาร์ค เซลบี้ สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 2 ครั้งและเป็นครั้งที่สามของเขา จะเห็นได้ว่าไม่มีนักสนุกเกอร์คนใดเล่นในสไตล์เดินหน้าฆ่ามันหรือกล้าได้กล้าเสียเหมือนกับ “เดอะ ร็อคเก็ต” รอนนี่ โอซุลลิแวนหรือจัด ทรัมป์เลยแม้แต่คนเดียว

การรักษาฟอร์มการเล่นที่แสนยากเย็น

10 ปีหลังสุด มีเพียงมาร์ค เซลบี้สามารถเข้าชิงแชมป์โลกในครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ได้ 3 ครั้งและคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด  และจอห์น ฮิกกิ้นที่เข้าชิงได้ถึง 4 ครั้ง และได้แชมป์ไปเพียงครั้งเดียว (เป็นสมัยที่ 4 ตลอดอาชีพของเขา) แต่ต้องแพ้ในนัดชิงทั้ง 3 ฤดูกาลหลังสุดอย่างโชคร้าย ก็ไม่มีนักสนุกเกอร์คนใดที่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นหรือยืนระยะได้เลย จัดด์ ทรัมป์เอ็งก็ต้องใช้เวลาถึง 8 ปีกว่าจะได้เข้าชิงแชมป์โลกอีกครั้งและทำสำเร็จในที่สุด ซึ่งด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นนักสู้ของเขาการจะรักษาความแม่นยำได้ในระยะยาวเป็นเรื่องยาก แต่เกือบ 1 ปีที่เขาครองแชมป์โลกมาจัดด์ ทรัมป์ยังคงรักษาตำแหน่งมือ 1 ของโลกพร้อมกับฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นเหนือกว่านักสนุกเกอร์คนใด ซึ่งหากเขายังคงรักษามาตรฐานของตนเองเอาไว้ได้ในเวลาอีกไม่กี่เดือนก่อนการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาจะเป็นเต็งหนึ่งในการคว้าแชมป์มาครองอย่างแน่นอน และเชื่อว่าแฟนสนุกเกอร์ส่วนใหญ่จะเอาใจช่วยเขาอย่างแน่นอน

post

บอริส เบ็คเกอร์เสือสิ้นลาย

บอริส  เบ็คเกอร์ เป็นนักเทนนิสชาวเยอรมันที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1967  เทิร์นโปรในปี 1984 และโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อได้เป็นเจ้าของสถิติแชมป์เทนนิสวิมเบิลดันประเภทชายเดี่ยวขณะอายุได้เพียง 17 ปี 7 เดือนในปี 1986 และที่สำคัญคือการสามารถพาทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์เดวิส คัพ (เทนนิสประเภททีม)ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คือในปี 1988,1989 สองปีติดต่อกันจนสามารถครองมือวางอันดับ 1 ของโลกในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 12 สัปดาห์ในปี 1991 เบ็คเกอร์เป็นนักเทนนิสที่เล่นลูกเสิร์ฟได้อย่างรุนแรง จนมีฉายาว่า “บูมบูม”รวมถึงการตีโต้ด้วยโฟร์แฮนด์อย่างหนักหน่วง และการขึ้นวอลเลย์หน้าเน็ต

ยอดนักเทนนิสแห่งยุค

ยุคนั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยุคทองของวงการเทนนิส มียอดนักเทนนิสอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นจอห์น แม็คเอนโรหนึ่งในนักเทนนิสที่หลายคนยกย่องว่าดีที่สุดตลอดกาล อีวาน เลนเดิล, สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก, แมทท์ วิลันเดอร์, โธมัส มุสเตอร์,อังเดร อกัสซี่ ในยุคที่ยังไว้ผมยาวสลวยซึ่งทุกชื่อที่กล่าวมาต่างเคยเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกมาแล้วทุกนามไม่เฉพาะสไตล์การเล่นที่ดุดันของเบ็คเกอร์ การให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวก็ร้อนแรงเช่นกัน การออกมาตั้งคำถามถึงความเก่งกาจ ของโรเจอร์เฟเดอเรอร์นักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดกว่าใคร ๆ ในประวัติศาสตร์วงการเทนนิส ว่าหากเฟเดอเรอร์ ได้ใช้แร็คเก็ตแบบในอดีตจะสามารถเอาชนะจอห์น แม็คแอนโรได้หรือไม่?

สูงสุดคืนสู่สามัญ

 ช่วงเวลาที่เบ็คเกอร์โลดแล่นในคอร์ดสักหลาด เบ็คเกอร์สามารถคว้าแชมป์ได้ 6 แกรนด์สแลมและยังได้ชื่อว่าเป็น1ในนักเทนนิสที่ได้รับการวางให้เป็นมืออันดับ 1 ของโลก แต่หลังจากแขวนแร็กเกตเชีวิตที่เคยรุ่งเรืองของเบ็คเกอร์ก็ดูจะตกต่ำลงเรื่อย ๆ จะดูดีหน่อยก็ช่วงที่ผันตัวไปเป็นโค้ชให้แก่โนวัค ยอโควิชมือวางอัน 1 ของโลกคนปัจจุบันช่วงสั้น ๆ ในปี 2013 ถึง 2016 ชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงอีก กระทั่งต้องหย่ากับลิลลี่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอดีตนางแบบดัตช์ที่ใช้ชีวิตแต่งงานกันมากว่า 9 ปี จนในที่สุดกันบอริส เบ็คเกอร์ถึงขั้นต้องเอาถ้วยรางวัลและของที่ระลึกส่วนตัวออกมาประมูลขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ แต่ก็ไม่วายถูกประกาศให้เป็นบุคคลล้มละลายในปี 2017 โดยมีหนี้สินล้นพ้นตัวกว่า 44 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

ปัจจุบันเบ็คเกอร์ยังคงติดตามเชียร์บาเยิร์น มิวนิคสโมสรฟุตบอลชื่อดังที่เขารัก และเขายังทำงานอยู่ในวงการกีฬาหรือรับบทพิธีกรจำเป็นไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรคงไม่มีแฟนเทนนิสเยอรมันคนไหนลืมชื่อ “บอริส เบ็คเกอร์”เพราะสำหรับแฟนเทนนิสชาวเยอรมันแล้วเขาคือ “นักเทนนิสชายเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล”

post

มาร์ค มาเกวซ ไอ้มดแดงแรงฤทธิ์

แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริง ๆ กับมาร์ค มาเกวซ “ไอ้มดแดงแห่งเซอร์เวร่า” (Ant of Cervera) หรือฉายาที่คนไทยต้องเรียกติดปากว่า “เด็กระเบิด” เมื่อสามารถคว้าแชมป์โมโตจีพีรุ่น 500 ซีซี ได้เป็นสมัยที่ 5 และเป็น 3 สมัยติดต่อกันในวัยเพียง 26 ปีเทียบเท่ากับมิค ดูฮานอดีตยอดนักบิดชาวออสเตรเลีย แต่ยังตามหลังวาเลนติโน่ รอสซี่(7)และจิอันโคโม่ อกอสตินี่(8) อยู่ 2 และ 3 สมัยตามลำดับ แต่ด้วยอายุเพียง 26 ปีในปัจจุบัน เส้นทางการเป็นสุดยอดนักบิดที่ประสบความสำเร็จเหนือผู้ใดยังคงเปิดกว้างให้แก่ “MM23” มาร์ค มาเกวซอยู่เสมอ

บ้าบิ่นและเสี่ยงตาย

มาร์ค มาเกวซเกิดเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 1993 ในแคว้นคาตาลันประเทศสเปน โดยเฉพาะตัวใช้หมายเลข 93 เลขเดียวกับปีเกิดของเขาตลอดมามาเกวซได้ชื่อว่าเป็นนักบิดประเภทบ้าบิ่น กล้าได้กล้าเสียทำให้ต้องเจ็บตัวอยู่เสมอจนในบางครั้งก็มีผลทำให้ตนเองต้องพลาดแชมป์สำคัญจากสไตล์การขับขี่เช่นนี้ของเจ้าตัว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เทิร์นโปรขึ้นมาใหม่ ๆ ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลย การได้เห็นรอยแผลถลอกตามใบหน้าและตัวของเขาจึงดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ แม้ต่อมาเจ้าตัวจะดูลดความบ้าบิ่นลงไปมากแล้ว แต่ความเก่งกาจของเจ้าตัวก็ยังคงเป็นที่ประจักษ์ต่อแฟนนักบิดอยู่ตลอดเวลา เทคนิคที่แปลกใหม่ยากต่อการเลียนแบบ ติดตาผู้ชมในสนามและทางบ้านที่หลงใหลในความเร็วไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

ท้าทายความอัจฉริยะของ “เดอะ ดอกเตอร์”

“VR46” “เดอะ ด็อกเตอร์” คือฉายาของวาเลนติโน่ รอสซี่อดีตแชมป์โลก 7 สมัยที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะและเป็นนักปิดขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริงวัย 40 ปีกำลังถูกท้าทายในความสำเร็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนคลื่นลูกใหม่จะมาแรงแซงทางโค้งคลื่นลูกเก่าหรือไม่เราคงได้รู้กัน แต่ที่แน่ ๆ ในวันนี้คาตาลุนญ่าไม่ได้มีแค่บาร์เซโลน่าหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่และมีแฟนติดตามอยู่ทั่วโลกเท่านั้น ยังมี “มาร์ค มาร์เกวซ” ยอดนักบิดที่ตัดสินใจเลือก “มด” เป็นสัตว์นำโชคของเขาที่เราจะเห็นได้เสมอบนหมวกกันน็อคที่เขาใส่ เขามองว่ามดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากแต่ในเวลาเดียวกันมันก็แข็งแกร่งมากเช่นกันเมื่อสามารถยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวของมันได้หลายเท่ารวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน และยังเป็นสิ่งเตือนใจให้เขารู้ว่าเขาต้องทำงานหนักอยู่เสมอเพราะนั่นจะเป็นหนทางเดียวที่จะนำชัยชนะมาให้เขา และสำหรับคาตาลุนญ่าเมืองเกิดของเขาแล้วความโด่งดังของเขาอาจจะเป็นรองก็จะมีเพียง “ลิโอแนล เมสซี่” เท่านั้นในวันนี้

post

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ แพะบ้าคัมแบ็กอีกครั้ง

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1948 (71ปี) เป็นเจ้าของสนามมุงเกอร์ดอร์เฟอร์ สตาดิโอน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ไรน์ เอเนอร์กี้” ที่มีความจุ 50,000 คน ในปัจจุบันมี วอเนอร์ สปินเนอร์เป็นประธานสโมสร และอาร์คิม ไบเออร์ โลเซอร์ เข้ามารับตำแหน่งต่อจากอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อฤดูกาลก่อน

หนึ่งในยักษ์หลับที่ถูกลืม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ หนึ่งในสโมสรชื่อดังในบุนเดสลีกาเยอรมันในยุค 1980 ถึง 1990 ได้กลับขึ้นมาเล่นใน บุนเดสลีกาลีกสูงสุดของเยอรมนีอีกครั้งหลังจากตกชั้นไปเพียงปีเดียว ทันทีที่บุกไปชนะกรอยเธอร์ เฟิร์ธถึง 4-0 ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา ก่อนคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 ได้ในที่สุด(เป็นสมัยที่4) ภายใต้การคุมทีมของอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวของทีม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ มีฉายาที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครว่า เดอะ บิลลี่ โกท (The Billy Goat) หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “แพะบ้า” โคโลญจน์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 ครั้งในปี 1963-64, 1977-78 และแชมป์เด เอฟ เบโพคาล หรือฟุตบอลถ้วยของเยอรมันได้อีก 4 ครั้ง คือ ในปี 1967-68,1976-77,1977-78,1982-83

ซึ่งแฟนฟุตบอลชาวไทยจำนวนไม่น้อยต่างรู้จักและติดตาม โดยได้สร้างนักเตะระดับตำนานเอาไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น โวล์ฟกัง โอเวอรัธ, แบรนด์ ชูสเตอร์, ปิแอร์ ลิทท์บาร์สกี้, เจอร์เก้น โคห์เลอร์, โทมัส เฮสเลอร์ โดยเฉพาะ ในตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่างโทนี่ ชูมัคเกอร์และโบโด อิล์กเนอร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งรายการพาทีมชาติเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่อิตาลีในปี 1990

อนาคตที่สดใสหรืออาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ เป็นสโมสรที่มีความพร้อมทุกอย่าง ที่จะก้าวขึ้นเป็นทีมลำดับต้น ๆ ในบุนเดสลีกาเยอรมัน โคโลญจน์เป็นเมืองใหญ่ มีสนามฟุตบอลที่สวยงาม มีรากฐานแฟนบอลที่เหนียวแน่นพร้อมให้กำลังใจทีมเสมอ ไม่ว่าทีม จะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ตาม และในชุดปัจจุบันนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงทีมที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นอีกครั้ง โคโลญจน์ก็ยังมี นักเตะที่น่าจับตามองอยู่อีกหลายคนอย่างโจนัส เฮคเตอร์ แบ็คซ้ายกัปตันทีมที่ติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ไปเล่นฟุตบอลโลกที่รัสเซียและติโม ฮอร์น นายทวารดาวรุ่งวัย 26 ที่พร้อมสืบตำนานตามรอยรุ่นพี่อย่างชูมัคเกอร์หรืออิล์กเนอร์

บุนเดสลีกาฤดูกาลใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2019 นี้ เอฟ.ซี.โคโลญจน์จะออกไปเยือนทีมคู่ปรับอย่างโวล์ฟบวร์ก เราคงจะได้เห็นฝีมือการทำทีมของโค้ชคนใหม่อย่างอาร์คิม ไบเออร์โลเซอร์ว่าเป็นอย่างไร หากทีมแพะบ้าสามารถมีแต้มกลับออกจากสนามโฟล์คสวาเก้น อารีน่าคงเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับสโมสรและแฟนบอลไม่น้อยเลยทีเดียว

post

โนวัค ยอโควิชกับ 5 ชั่วโมงเดือดก่อนคว้าแชมป์วิมเบิลดัน

โนวัค ยอโควิชยอดนักเทนนิสชาวเซอร์เบียมือวางอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 เป็นนักเทนนิสที่ได้รับการยอมรับว่าเล่นได้ดีในคอร์ดทุกประเภทโดยเฉพาะฮาร์ตคอร์ด เป็นนักเทนนิสที่มีถนัดการแบ็คแฮนด์เป็นทีเด็ดในการพิชิตคู่แข่ง และเป็นหนึ่งในสามนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปัจจุบัน (ราฟาเอล นาดาล,โรเจอร์ เฟเดอเรอร์)

บททดสอบสำคัญและการกลับมา

วันที่ 14 กรกฎาคม 2019 โนวัค ยอโควิชมือวางอันดับ 1 ของโลกวัย 32 สามารถป้องกันแชมป์ของเขาไว้ได้โดยเอาชนะหนึ่งในสุดยอดคู่ปรับอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์วัย 37 ปีไปอย่างดุเดือด 3-2 เซ็ท (7-6,1-6,7-6,4-6 และ13-12) คว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 5 ของเขาโดยใช้เวลายาวนานกว่า 4 ชั่วโมง 40 นาที

สำหรับโนวัค ยอโควิชแล้วถือเป็นบททดสอบที่สุดสำคัญหลังจากเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บที่ข้อศอกจนต้อง ทำการพักรักษาตัวไปเป็นระยะเวลานานกว่า 4 เดือนต้องเปลี่ยนโค้ชอยู่หลายครั้งโดยเฉพาะการแยกทางกับอดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลกในอดีตทั้งสองคนอย่างบอริส เบ็คเกอร์และอังเดร อากัสซี่ สำหรับเกมส์นัดชิงชนะเลิศศึกวิมเบิลดันในครั้งนี้ ที่ยากขึ้นไปอีกก็คือผู้ชมในสนามก็ดูจะให้กำลังใจทางด้านโรเจอร์ เฟเดอเรอร์นักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดที่สูงวัยกว่า ให้กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งในวัย 37 ปีมากกว่า จึงทำให้ความกดดันกระหน่ำถาโถมเข้าหาเจ้าตัวมากขึ้นไปอีก แต่ด้วยแรงใจสำคัญจากเยเลน่า ยอโควิชภรรยากับสเตฟาน ยอโควิชลูกชายวัย 3 ขวบและมาเรียน วาสด้าผู้กลับมารับตำแหน่งโค้ชคนปัจจุบันอีกครั้งของโนเล่ สุดท้ายแล้วโนวัค ยอโควิชก็ยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าจนฉันได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งของเขาและคว้าแชมป์ได้ในที่สุดโดยเฉพาะในเกมสุดท้ายที่เฉือนกัน 13-12 อย่างสุดตื่นเต้นทำเอาผู้ชมในสนามลุ้นจนแทบจะลืมหายใจกันเลยทีเดียว

เฟด-เอ็กซ์ถูกท้าทายอีกครั้ง

หลังจบเกมส์โนวัค ยอโควิชได้กล่าวชื่นชมคู่แข่งของเขาว่า “เฟดเดอเรอร์เล่นได้ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อในวัย 37 และกล่าวอย่างติดตลกว่าตัวเขาเองก็หวังว่าจะได้คว้าแชมป์ในวัย 37 เช่นกัน” จากชัยชนะสุดสำคัญนี้ทำให้โนวัค ยอโควิชได้ไปแล้ว 13 แกรนด์สแลมป์เวลานี้เขายังตามหลังโรเจอร์ เฟเดอเรอร์(20) อีก 7 แกรนด์สแลมป์ แม้ว่าหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และเส้นทางที่ยังดูไกลเกินเอื้อมถึง ในปลายเดือนหน้า(สิงหาคม)ศึกยูเอส โอเพ่นหนึ่งในแกรนด์สแลมป์สำคัญจะเริ่มขึ้น จะเป็นอะไรที่ทุกคนกลับมาจับตามองโนวัค ยอโควิชอีกครั้ง เพราะ “โนเล่” คนเดิมได้กลับมาแล้ว

post

อลิสซงนายประตูผู้คู่ควรบัลลงดอร์ สวมหมายเลข 13 พร้อมค่าตัวสถิติโลก

อลีสซง เบ็คเกอร์ผู้รักษาประตูหมายเลข 1 ทีมชาติบราซิลและสโมสรลิเวอร์พูลวัย 26 ปีเจ้าของความสูง 1.93 ซม. โดยในฤดูกาลที่แล้วเจ้าตัวย้ายจากโรม่ามาร่วมทีมหงส์แดงด้วยค่าตัว 66.8 ล้านปอนด์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถิติโลกในเวลานั้นท่ามกลางความสงสัยจากแฟนบอลที่มีต่อผู้รักษาประตูเครางามชาวแซมบ้าว่าจะแก้ปัญหาการเสียประตูของลิเวอร์พูลได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ลอริส คาริอุสและซิมงต์ มิณโญเล่ต์ผลัดกันก่อความผิดพลาดจนทำให้ยอดทีมจากอังกฤษต้องมือเปล่าในฤดูกาลก่อน

บทเรียนจากความผิดพลาดนำไปสู่ความสำเร็จ

ถึงแม้ว่าอลิสซงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทันทีที่ได้รับโอกาส และดูเหมือนจะเข้ามาอยู่ในหัวใจของเหล่าเดอะค็อปทันทีจนกระทั่งเกิดความผิดพลาดขึ้นในแมทช์ที่ลิเวอร์พูลพบกับเลสเตอร์จะด้วยความมั่นใจเกินไปเหรือความประมาทก็ตาม อลิสซงทำผิดพลาดจนนำไปสู่การเสียประตูแบบไม่คาดคิด ถือเป็นโชคดีที่ไหนตอนนั้นลิเวอร์พูลนำเลสเตอร์อยู่ 2 ประตูก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะของหงส์แดงในที่สุด แม้ว่าหลังเกมอลิสซงจะถูกแฟนของตนเองตำหนิอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ในความผิดพลาดนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในที่สุด เพราะหลังจากนั้นอลิสซงไม่เคยแสดงให้เห็น ถึงการเล่นประมาทหรือมั่นใจเกินเหตุอย่างที่เคย นอกจากจะไม่พลาดแล้วอลิสซงยังช่วยเซฟแต้มให้ลิเวอร์พูล  อย่างเป็นกอบเป็นกำและสร้างสถิติส่วนตัวขึ้นมากมาย เริ่มจากการรักษาคลีนชีตในฤดูกาล 2018-19 ได้ถึง 21 เกม        ทำลายสถิติเดิมของเปเป้ เรน่าที่ทำไว้ในฤดูกาล 2005-06 ลงอย่างราบคาบ โดยเจ้าตัวทำสถิติเทียบเท่าเอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์      ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ทำไว้เท่ากันในฤดูกาล 2008-09

คว้า 3 ถุงมือทองคำลุ้นเล็ก ๆ กับบัลลงดอร์

ถึงแม้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจะจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ไม่ใช่ลิเวอร์พูลของอลิสซงก็ตาม แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเก็บคลีนชีตไปถึง 6 นัดนอกจาก       จะทำให้เจ้าตัวคว้าถุงมือทองคำเป็นรางวัลที่ 2 ให้แก่ตนเองแล้วยังพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ใบใหญ่ที่สุดของยุโรป           ได้เป็นสมัยที่ 6 อีกด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นการลงเล่นฤดูกาลแรกให้กับสโมสร ไม่เพียงเท่านั้น ในฟุตบอลโคปาอเมริกา 2019 อลิสซงยังสามารถเก็บคลีนชีตได้ถึง 5 นัดกับบราซิล แม้ว่าในนัดชิงอลิสซงจะเสียประตูแรกให้แก่เปรูจากลูกจุดโทษอย่างน่าเสียดายแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ อลิสซง กลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกของโลกที่คว้ารางวัลถุงมือทองคำได้ 3 รายการภายในหนึ่งซีซั่น ด้วยความสำเร็จส่วนตัวรวมถึงจากสโมสรและระดับทีมชาติ ถึงแม้จะมีโอกาสไม่มาก แต่อลิสซง เบ็คเกอร์อาจจะเป็นผู้รักษาประตูคนที่สองต่อจากเลฟ ยาชินที่เคยคว้ารางวัลนี้ในปี 1963 เพียงครั้งเดียวในตำแหน่งนี้

post

ครอบครัวฉลองวันเกิดชูมัคเกอร์ครบ 50 ปี

มิชาเอล ชูมัคเกอร์ นักแข่งรถ F1 ชาวเยอรมัน ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยคว้าตำแหน่งแชมป์โลก 7 สมัย เขาเกิดวันที่ 3 มกราคม 1969 ฉายาของเขาคือ “Rain King” เพราะในสภาพอากาศที่เลวร้ายเขายังควบคุมรถได้อย่างแม่นยำและมักจะเป็นผู้ชนะในรายการแข่งขันช่วงฝนตกอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้เขายังมีอีกหนึ่งฉายาคือ “The Red baron” เพราะเขามักจะปรากฏตัวพร้อมกับรถเฟอรารี่สีแดงของเขาอยู่เสมอ

การอำลาวงการที่ไม่มีใครคาดคิด

ไม่มีใครสงสัยในฝีมือการขับขี่ของชูมัคเกอร์และทุก ๆ ชัยชนะที่เขาได้รับ หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานจนกระทั่งพ่ายแพ้ให้แก่เฟอนันโด อลอนโซ่นักขับชาวสเปนจากทีมเรย์โนลด์ ชูมัคเกอร์ก็ประกาศอำลาวงการสร้างความช็อกให้กับคนทั้งโลก โดยหันไปเอาดีทางการแข่งขันเกี่ยวกับความเร็วด้านอื่นเช่น มอเตอร์ไบค์แทน ซึ่งนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้วยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งปี 2010 ชูมัคเกอร์กลับสู่วงการแข่งรถอีกครั้งโดยตกลงเซ็นสัญญากับทีมเมอร์เซเดส แต่ผลงานของเจ้าตัวกลับเลวร้ายสุด ๆ จนถึงปี 2012 ถึงประกาศอำลาวงการรถสูตรหนึ่งอีก มีข่าวลือว่าฝีมือที่ตกต่ำลงเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุในการแข่งขันรถมอเตอร์ไบค์ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ

สกีจุดเริ่มต้นของจุดจบ

หลังอำลาวงการคำรบที่สอง ชูมัคเกอร์หันไปเล่นสกีซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขารัก และในวันที่ 29 ธันวาคม 2013 ชูมัคเกอร์ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกี ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้นเขาสะดุดและล้มลงศีรษะกระแทกเข้ากับโขดหินและได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง จนภายหลังเจ้าตัวได้รับการผ่าสมองถึง 2 ครั้ง แต่ยังอยู่ในอาการโคม่า ข่าวการประสบอุบัติเหตุของชูมัคเกอร์ได้รับความสนใจจากชาวเยอรมันนับล้านคน ตลอดเวลาที่ชูมัคเกอร์พักรักษาตัวไม่เคยปรากฏข่าวหรือรายละเอียดการรักษาตัวของเขาอีกเลยโดยสื่อมวลชนได้รับเพียงสารจากผู้จัดการส่วนตัวของเขาว่าชูมัคเกอร์ฟื้นจากอาการโคม่าแล้ว และขอให้เคารพในความเป็นส่วนตัวของเขา หลังจากนั้นไม่ปรากฏข่าวคราวของเขาเลย

ปริศนาและข่าวลือ

ปี 2014 ผู้จัดการส่วนตัวให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อทีวีว่าชูมัคเกอร์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ไม่มีข้อมูลใด ๆ มากกว่านี้หลายสื่อให้ข่าวแตกต่างกันไปมีบางสื่อบอกว่าเขากลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว ไม่นานทุกอย่างก็ถูกลืมไปเช่นเดิม แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เห็นชูมัคเกอร์โลดแล่นอยู่ในสนามแข่งรถสูตรหนึ่งที่คุ้นตาอีกแล้ว แต่เขาก็เข้าได้เข้าร่วมองค์กรยูนิเซฟเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนขับขี่อย่างปลอดภัย ชีวิตและเรื่องราวของเขาปัจจุบันกำลังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และสารคดีในไม่ช้า เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้รู้จักราชันแห่งผู้ขับขี่รถซิ่งฉายาเดอะ เรด บารอนหรือตามที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ไส้กรอกบิน”มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

post

มัลดินี่ ตระกูลคู่บารมีเอซี มิลาน

ในโลกของฟุตบอลตั้งแต่ปี 1954 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อ “ตระกูลมัลดินี่” ตระกูล นักฟุตบอลอันยิ่งใหญ่สัญชาติอิตาเลียนต่างสโมสรเสื้อสีแดง-ดำ (รอสโซเนรี่) นามระบืออย่าง “เอซี มิลาน”

เริ่มต้นจากปี 1954 เป็นปีแรกเซซาเร่ มัลดินี่ยอดกองหลังที่ต่อมาเป็นตำนานให้แก่ทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน เริ่มประเดิมสนามเป็นปีแรกให้กับทีมปีศาจแดง-ดำแห่งกัลโช่เซเรียอา เซซาเร่ มัลดินี่ติดทีมชาติอิตาลี 14 นัดลงสนามให้เอซี มิลานไปถึง 347 นัดในลีกและรวมทั้งสิ้น 412 นัด พาทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์เซเรียอา 4 สมัยและยูโรเปี้ยนคัพหรือ ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน 1 สมัย ที่พิเศษกว่านั้นเซซาเร่ มัลดินี่ยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์คัพวินเนอร์มาแล้วในปี 1972-73 และแชมป์โคปปาอิตาเลียในปีเดียวกัน ปัจจุบันเซซาร์ มัลดินี่ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 84 ปี

จากเซซาเร่ ถึงเปาโล

 หากจะมีนักฟุตบอลสักคนหนึ่งที่ได้รับการชื่นชมจากทุกสารทิศและการยอมรับอย่างยาวนานและสร้างสถิติต่าง ๆ เอาไว้อย่างมากมาย ต้องมีชื่อของเปาโล มัลดินี่อดีตกัปตันทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน มัลดินี่ในเจนเนอเรชันที่ 2 เคยทำสถิติติดทีมชาติอิตาลีเอาไว้ถึง 126 นัดและยังทำสถิติลงเล่นให้สโมสรต้นสังกัดอย่างเอซี มิลานถึง 647 นัด มากที่สุดตลอดกาลจนยากที่จะมีใครมาทำลายได้ เปาโลเล่นกองหลังเช่นเดียวกับเซซาเร่บิดาของเขาสร้างชื่อจากตำแหน่งแบ็คซ้ายทั้ง ๆ ที่ตนเองถนัดเท้าขวาและสร้างผลงานได้ดีตลอดมาในทุกตำแหน่งที่ได้ลงเล่น เปาโลประสบความสำเร็จ ในทุกการแข่งขันที่ลงเล่นโดยเฉพาะกับสโมสร แต่สำหรับทีมชาติเขาค่อนข้างโชคร้ายที่พาทีมชาติอิตาลีได้เพียงรอง แชมป์โลกในปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา โดยแพ้ในการโดนจุดโทษให้แก่บราซิลและได้เพียงแค่รองแชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรปในปี 2000 ด้วยประตู golden goal จากดาวิด เทรเซเกต์ของฝรั่งเศส ภายหลังเมื่อเปาโล มัลดินี่เลิกเล่นฟุตบอลสโมสร เอซี มิลานได้ยกเลิกการใช้หมายเลข 3 เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เจ้าตัวอีกด้วย ในปัจจุบันเปาโล มัลดินี่รับตำแหน่ง เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กลับต้นสังกัดเดิมและเป็นต้นสังกัดเดียวของเขา

อนาคตของ(ตระกูล)มัลดินี่กับคริสเตียนและดาเนียล

คริสเตียน มัลดินี่ยังคงเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังเช่นเดียวกับปู่ (เซซาเร่) และพ่อ (เปาโล) ของเขา แต่เส้นทางลูกหนังของเขากลับยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ คริสเตียนอายุ 23 ปีแม้จะเคยมีประสบการณ์ในทีมเยาวชนของมิลานอยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้ลงสนามในลีกสูงสุดของอิตาลีเลยแม้แต่นัดเดียว ปัจจุบันคริสเตียนลงเล่นทีม “ฟาโน” ทีมระดับเซเรียซี สำหรับดาเนียล มัลดินี่ลูกชายคนเล็กของเปาโลและน้องชายของคริสเตียนดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย เมื่อเจ้าตัวได้รับโอกาสลงเล่นให้เอซี มิลานชุดใหญ่ในเกมอุ่นเครื่องพบบาเยิร์น มิวนิคเมื่อวันพุธที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหนูดาเนียล วัย 17 ปีเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายแสดงให้เห็นถึงเทคนิคแพรวพราวให้แฟนบอลได้พูดถึงและดูมีอะไร ให้หวังบ้างหลังจากที่เอซี มิลานประสบปัญหาภายในสโมสรและสร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนาน อีกไม่นานเราคง ได้รู้กันว่ามัลดินี่คนที่ 4 จะเป็นลูกไม้ที่หล่นใกล้หรือไกลต้น

post

ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์กับความเก่ง+รวยที่ไม่ธรรมดา

หากจะกล่าวถึงนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพและร่ำรวยเงินทองแบบสุด ๆ คงจะไม่มีใครเกิน     ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ยอดนักมวยชาวอเมริกันผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกถึง 5 รุ่นที่ไม่เคยเสมอหรือแพ้ใครเลยตลอดอาชีพการชกมวยอาชีพ  

ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1977 ครอบครัวของเขานับได้ว่าเป็นตระกูลนักมวยอย่างแท้จริงเขาเป็นหลานของโรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ ที่เคยเป็นแชมป์โลกมาแล้วเช่นกัน ในตอนที่เขาลงชิงชัยในสังเวียนช่วงเวลาแรกปี 1966 ฟลอยด์แพ้ให้แก่โทโดรอฟ นักชกชาวบัลแกเรียในรายการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1996 แบบฉิวเฉียด 8-10 ทำให้ได้รับเพียงแค่เหรียญทองแดงเท่านั้น ก่อนที่โทโดรอฟจะได้ขึ้นชิงกับสมรักษ์ คำสิงห์(พิมพ์อรัญเล็ก ศิษฐ์อรัญ)ยอดนักมวยไทยที่เปลี่ยนมาชกมวยสากลสมัครเล่นชาวไทยและแพ้ไปในที่สุด ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มีฉายาว่า “พริตตี้ บอย”(pretty boy) เพราะเขาเป็นนักมวยที่สายตาดี สามารถหลบหลีกและป้องกันตนเองได้เก่งมากและยังเคยได้รับการยกย่องจากนิตยสารเดอะ ริงว่าเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดหากเทียบกันกับปอนด์ในขณะนั้นอีกด้วย

ขึ้นทำเทียบนักมวยหมื่นล้าน

นอกจากฝีมือการชกบนสังเวียนแล้วฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าตนเองเป็นนักกีฬาที่หาเงินเก่งมากเพียงใด ทั้งการสร้างแบรนด์เสื้อผ้ารวมถึงแฟชั่นอื่น ๆ เป็นของตนเองและก็ลงทุนทำธุรกิจต่าง ๆ ทั้งในอเมริกันและเอเชียหรือการขึ้นชกในแต่ละแมทช์ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปเสียทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการชกกับแมนนี่ ปาเกียว, คอร์เนอร์ แม็คเกรเกอร์ก็ดูจะเป็นเรื่องของเงินมากกว่าเรื่องของหมัดมวย ในปี 2018 ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ได้รับการจัดอันดับของนิตยสารทางการเงินชื่อดังของอเมริกัน “ฟอร์บส์” ให้เป็นนักกีฬาที่รวยที่สุดในโลกเหนือกว่ายอดนักกีฬาประเภทอื่น ๆ ทุก ๆ คนบนโลกใบนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งลิโอแนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์หรือไทเกอร์ วู้ดก็ตาม

ความเก่งกับเสียงวิจารณ์

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์จะประกาศอำลาเวทีมวยอย่างเป็นทางการหลังจากการชกกับอังเดร เบอร์โตนักชกชาวอเมริกันไปแล้วก็ตาม โดยเจ้าตัวทำสถิติชนะรวดเทียบเท่าไหร่ร็อคกี้ มาร์เซียโน่อดีตนักชกผิวขาวชาวอเมริกา 49 ไฟท์ แต่กระนั้นเจ้าตัวมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ จากการเป็นนักมวยที่ชอบตั้งรับ ชกมวยที่น่าเบื่อชวนหลับและนิสัยอวดร่ำอวดรวยของตน อย่างไรก็ดีว่าแม้ว่าฟลอยด์จะประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ยังคงเป็นนักชกที่ถูกนำไปพูดถึงในแมทช์การชกใหญ่ ๆ แทบจะทุกครั้งไม่ว่ากับนักมวยคนใดก็ตาม ความคาดหวังของแฟนหมัดมวยที่จะได้เห็น “ฟลอย เมย์เวเธอร์ จูเนียร์” กลับมาชกไฟท์ที่ 51 หรือไม่คงจะมีเพียงตัวฟลอยด์เท่านั้นที่ตอบได้