post

แดงเดือนผีหงส์ยังเดือดเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือดราม่า var

เชื่อว่าไม่มีคอบอลคนใดที่ไม่รู้จักศึกแดงเดือด เพราะนั่นคือการโคจรมาพบกันของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2 สโมสรยอดนิยมที่แฟนบอลชาวไทยติดตามมากที่สุด ลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ด คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเกาะอังกฤษ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปมากกว่าคือ 6 สมัย (แมนยูไนเต็ดได้ 3 สมัย) แต่แมนยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมถึง 20 สมัย (สถิติสูงสุด) ส่วนลิเวอร์พูลได้เพียง 18 สมัยเท่านั้นและครั้งสุดท้ายก็เป็นปี 1989 เกือบ 30 ปีแล้วที่ลิเวอร์พูลอดีตราชาแห่งเกาะอังกฤษต้องห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดจนถูกปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแซงไปได้ในที่สุด

ปีศาจแดงชนะมากกว่าแต่หงส์แดงพร้อมกว่า

สถิติการพบกันของทั้งสองทีมในศึกแดงเดือดด้วยนับทุกรายการแข่งขัน ทั้งสองทีมที่พบกันทั้งสิ้น 203 นัด แมนฯยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 80 นัด ลิเวอร์พูลชนะได้เพียง 66 นัดและเสมอกัน 57 นัด ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองทีมมาพบกันมักจะเป็นการลุ้นแชมป์ของทั้งสองทีมร่วมกัน แต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอกูสันอดีตบรมกุนซือของปีศาจแดงปลดระวางตนเองไปและลิเวอร์พูลได้เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือเฮฟวี่เมทัลชาวเยอรมันมาคุมทีม ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะพัฒนาทีมขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเวทียุโรปหงส์แดงในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์สามารถเข้าชิงยูฟ่าแชมป์เปียนลีกได้ถึง 2 ปีติด และได้แชมป์มาหนึ่งครั้งในปีล่าสุดที่ผ่านมา แต่แมนฯยูไนเต็ดต้องเปลี่ยนกุนซือหลายต่อหลายคนจนกระทั่งในปัจจุบันได้โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์อดีตตำนานนักเตะขวัญใจในยุคเฟอร์กูสันมาคุมทีมปีศาจแดงอาการยังไม่ดีขึ้น โดยก่อนแข่งพวกเขาอยู่อันดับที่ 12 จะมีคะแนนห่างจากลิเวอร์พูลจ่าฝูงถึง 15 คะแนน เก้าอี้ของโซลชากำลังร้อนทีเดียว

ดราม่า var

เมื่อเกมแดงเดือดเริ่มขึ้นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดสนามเหย้าของแมนฯยูไนเต็ด ด้วยฟอร์มการเล่นและสภาพความพร้อมของนักเตะแล้ว ดูเหมือนหงส์แดงผู้มาเยือนจะเป็นต่อไม่น้อย แมนยูฯขาดทั้งปอล ป็อกบา, อ็องตัวนี่ มาร์กซิยาล แต่โชคดีที่พวกเขาได้ดาบิด เด เค อาผู้รักษาประตูกัปตันทีมกลับมาจากอาการบาดเจ็บส่วนลิเวอร์พูลขาดเพียงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกตัวเก่งคนเดียวเท่านั้น เกมในครึ่งแรกกลับเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่เล่นได้ดีกว่า และทำประตูขึ้นนำไปได้ในที่สุด 1-0 จากมาร์คัส แรชฟอร์ดกองหน้าคนเก่งของทีม แต่ที่ถูกพูดถึงมากกว่าประตูของเจ้าบ้าน คือการตัดสินของมาร์ติน แอตกินสัน ที่ไม่เป่าฟาวล์ในจังหวะที่ลินเดอเลิฟกองหลังของแมนยูเขาสกัดโอริกี้กองหน้าของลิเวอร์พูลที่ได้โอกาสลงแทนซาลาร์ ทำให้ลิเวอร์พูลเสียบอลในจังหวะนี้และนำมาสู่การได้ประตูของแมนยูในที่สุด เมื่อดูจากVAR แล้ว จะเห็นได้ว่าการเข้าบอลของลินเดอเลิฟโดนโอริกี้เต็ม ๆ กลายเป็นคำถามถึงเรื่องคำตัดสินและการนำVAR มาใช้ว่าจะช่วยให้เกมฟุตบอลเป็นกีฬาที่ขาวสะอาดและยุติธรรมขึ้นจริงหรือไม่  แต่ไม่ว่าอย่างไร ต้องยอมรับว่าแนวรุกของแมนยูก็ประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยมจนนำมาซึ่งประตูในที่สุด

จบเกมด้วยผลเสมอที่น่าพอใจ?

ลิเวอร์พูลที่เป็นต่อก่อนลงแข่งขันในเกมนี้ แต่กลับเล่นได้ย่ำแย่ ในขณะที่แมนยูฯที่อาจจะมองว่าเขาได้ประโยชน์จากการตัดสินของ VAR และผู้ตัดสิน แต่ปีศาจแดงคือทีมที่เล่นดีกว่าเกือบทั้งเกมและน่าจะเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำก่อนจบลงด้วยผลเสมอในที่สุด จากผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอในเกมนี้ทำให้ลิเวอร์พูลต้องหยุดสถิติชนะรวด และลดช่องว่างคะแนนที่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้เหลือเพียง 6 คะแนน ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 และมีคะแนนเพียง 10 คะแนนห่างจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทีมในโซนตกชั้นอยู่เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ชัยชนะหลุดลอยไปจากทีมเจ้าบ้านอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นผลการแข่งขันที่เหมาะสมแล้วเพราะลิเวอร์พูลก็อาจจะไม่ควรมือเปล่าในศึกแดงเดือด ที่ยังดุเดือดสมชื่อเช่นกัน

post

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ แพะบ้าคัมแบ็กอีกครั้ง

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1948 (71ปี) เป็นเจ้าของสนามมุงเกอร์ดอร์เฟอร์ สตาดิโอน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ไรน์ เอเนอร์กี้” ที่มีความจุ 50,000 คน ในปัจจุบันมี วอเนอร์ สปินเนอร์เป็นประธานสโมสร และอาร์คิม ไบเออร์ โลเซอร์ เข้ามารับตำแหน่งต่อจากอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อฤดูกาลก่อน

หนึ่งในยักษ์หลับที่ถูกลืม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ หนึ่งในสโมสรชื่อดังในบุนเดสลีกาเยอรมันในยุค 1980 ถึง 1990 ได้กลับขึ้นมาเล่นใน บุนเดสลีกาลีกสูงสุดของเยอรมนีอีกครั้งหลังจากตกชั้นไปเพียงปีเดียว ทันทีที่บุกไปชนะกรอยเธอร์ เฟิร์ธถึง 4-0 ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมา ก่อนคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 ได้ในที่สุด(เป็นสมัยที่4) ภายใต้การคุมทีมของอันเดรีย พาวลัค กุนซือชั่วคราวของทีม

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ มีฉายาที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครว่า เดอะ บิลลี่ โกท (The Billy Goat) หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “แพะบ้า” โคโลญจน์สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 ครั้งในปี 1963-64, 1977-78 และแชมป์เด เอฟ เบโพคาล หรือฟุตบอลถ้วยของเยอรมันได้อีก 4 ครั้ง คือ ในปี 1967-68,1976-77,1977-78,1982-83

ซึ่งแฟนฟุตบอลชาวไทยจำนวนไม่น้อยต่างรู้จักและติดตาม โดยได้สร้างนักเตะระดับตำนานเอาไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น โวล์ฟกัง โอเวอรัธ, แบรนด์ ชูสเตอร์, ปิแอร์ ลิทท์บาร์สกี้, เจอร์เก้น โคห์เลอร์, โทมัส เฮสเลอร์ โดยเฉพาะ ในตำแหน่งผู้รักษาประตูอย่างโทนี่ ชูมัคเกอร์และโบโด อิล์กเนอร์ ที่เป็นส่วนหนึ่งรายการพาทีมชาติเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่อิตาลีในปี 1990

อนาคตที่สดใสหรืออาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่

เอฟ.ซี.โคโลญจน์ เป็นสโมสรที่มีความพร้อมทุกอย่าง ที่จะก้าวขึ้นเป็นทีมลำดับต้น ๆ ในบุนเดสลีกาเยอรมัน โคโลญจน์เป็นเมืองใหญ่ มีสนามฟุตบอลที่สวยงาม มีรากฐานแฟนบอลที่เหนียวแน่นพร้อมให้กำลังใจทีมเสมอ ไม่ว่าทีม จะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ตาม และในชุดปัจจุบันนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงทีมที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นอีกครั้ง โคโลญจน์ก็ยังมี นักเตะที่น่าจับตามองอยู่อีกหลายคนอย่างโจนัส เฮคเตอร์ แบ็คซ้ายกัปตันทีมที่ติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ไปเล่นฟุตบอลโลกที่รัสเซียและติโม ฮอร์น นายทวารดาวรุ่งวัย 26 ที่พร้อมสืบตำนานตามรอยรุ่นพี่อย่างชูมัคเกอร์หรืออิล์กเนอร์

บุนเดสลีกาฤดูกาลใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2019 นี้ เอฟ.ซี.โคโลญจน์จะออกไปเยือนทีมคู่ปรับอย่างโวล์ฟบวร์ก เราคงจะได้เห็นฝีมือการทำทีมของโค้ชคนใหม่อย่างอาร์คิม ไบเออร์โลเซอร์ว่าเป็นอย่างไร หากทีมแพะบ้าสามารถมีแต้มกลับออกจากสนามโฟล์คสวาเก้น อารีน่าคงเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับสโมสรและแฟนบอลไม่น้อยเลยทีเดียว

post

มัลดินี่ ตระกูลคู่บารมีเอซี มิลาน

ในโลกของฟุตบอลตั้งแต่ปี 1954 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อ “ตระกูลมัลดินี่” ตระกูล นักฟุตบอลอันยิ่งใหญ่สัญชาติอิตาเลียนต่างสโมสรเสื้อสีแดง-ดำ (รอสโซเนรี่) นามระบืออย่าง “เอซี มิลาน”

เริ่มต้นจากปี 1954 เป็นปีแรกเซซาเร่ มัลดินี่ยอดกองหลังที่ต่อมาเป็นตำนานให้แก่ทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน เริ่มประเดิมสนามเป็นปีแรกให้กับทีมปีศาจแดง-ดำแห่งกัลโช่เซเรียอา เซซาเร่ มัลดินี่ติดทีมชาติอิตาลี 14 นัดลงสนามให้เอซี มิลานไปถึง 347 นัดในลีกและรวมทั้งสิ้น 412 นัด พาทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์เซเรียอา 4 สมัยและยูโรเปี้ยนคัพหรือ ยูฟ่าแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน 1 สมัย ที่พิเศษกว่านั้นเซซาเร่ มัลดินี่ยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเอซี มิลานคว้าแชมป์คัพวินเนอร์มาแล้วในปี 1972-73 และแชมป์โคปปาอิตาเลียในปีเดียวกัน ปัจจุบันเซซาร์ มัลดินี่ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 84 ปี

จากเซซาเร่ ถึงเปาโล

 หากจะมีนักฟุตบอลสักคนหนึ่งที่ได้รับการชื่นชมจากทุกสารทิศและการยอมรับอย่างยาวนานและสร้างสถิติต่าง ๆ เอาไว้อย่างมากมาย ต้องมีชื่อของเปาโล มัลดินี่อดีตกัปตันทีมชาติอิตาลีและเอซี มิลาน มัลดินี่ในเจนเนอเรชันที่ 2 เคยทำสถิติติดทีมชาติอิตาลีเอาไว้ถึง 126 นัดและยังทำสถิติลงเล่นให้สโมสรต้นสังกัดอย่างเอซี มิลานถึง 647 นัด มากที่สุดตลอดกาลจนยากที่จะมีใครมาทำลายได้ เปาโลเล่นกองหลังเช่นเดียวกับเซซาเร่บิดาของเขาสร้างชื่อจากตำแหน่งแบ็คซ้ายทั้ง ๆ ที่ตนเองถนัดเท้าขวาและสร้างผลงานได้ดีตลอดมาในทุกตำแหน่งที่ได้ลงเล่น เปาโลประสบความสำเร็จ ในทุกการแข่งขันที่ลงเล่นโดยเฉพาะกับสโมสร แต่สำหรับทีมชาติเขาค่อนข้างโชคร้ายที่พาทีมชาติอิตาลีได้เพียงรอง แชมป์โลกในปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา โดยแพ้ในการโดนจุดโทษให้แก่บราซิลและได้เพียงแค่รองแชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรปในปี 2000 ด้วยประตู golden goal จากดาวิด เทรเซเกต์ของฝรั่งเศส ภายหลังเมื่อเปาโล มัลดินี่เลิกเล่นฟุตบอลสโมสร เอซี มิลานได้ยกเลิกการใช้หมายเลข 3 เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เจ้าตัวอีกด้วย ในปัจจุบันเปาโล มัลดินี่รับตำแหน่ง เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กลับต้นสังกัดเดิมและเป็นต้นสังกัดเดียวของเขา

อนาคตของ(ตระกูล)มัลดินี่กับคริสเตียนและดาเนียล

คริสเตียน มัลดินี่ยังคงเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหลังเช่นเดียวกับปู่ (เซซาเร่) และพ่อ (เปาโล) ของเขา แต่เส้นทางลูกหนังของเขากลับยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ คริสเตียนอายุ 23 ปีแม้จะเคยมีประสบการณ์ในทีมเยาวชนของมิลานอยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้ลงสนามในลีกสูงสุดของอิตาลีเลยแม้แต่นัดเดียว ปัจจุบันคริสเตียนลงเล่นทีม “ฟาโน” ทีมระดับเซเรียซี สำหรับดาเนียล มัลดินี่ลูกชายคนเล็กของเปาโลและน้องชายของคริสเตียนดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย เมื่อเจ้าตัวได้รับโอกาสลงเล่นให้เอซี มิลานชุดใหญ่ในเกมอุ่นเครื่องพบบาเยิร์น มิวนิคเมื่อวันพุธที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหนูดาเนียล วัย 17 ปีเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายแสดงให้เห็นถึงเทคนิคแพรวพราวให้แฟนบอลได้พูดถึงและดูมีอะไร ให้หวังบ้างหลังจากที่เอซี มิลานประสบปัญหาภายในสโมสรและสร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนาน อีกไม่นานเราคง ได้รู้กันว่ามัลดินี่คนที่ 4 จะเป็นลูกไม้ที่หล่นใกล้หรือไกลต้น

post

นาบี เฟคีร์กับเส้นทางใหม่ที่แสนเซอร์ไพรส์

รู้จัก”นาบี เฟคีร์”

เกิดเมื่อ 18 กรกฎาคม 1993 (26 ปี) เป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสหนึ่งในผลผลิตจากทีมชุดเยาวชนของ โอลิมปิกลียง โดยสามารถเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกและปีก เฟคีร์เป็นผู้เล่นที่จ่ายบอลได้ดีและยังยิงประตูได้ดีอีกด้วย เฟคีร์ได้รับปลอกแขนกัปตันทีมลียงในปี 2017 หลังจากที่เล่นให้ทีมยักษ์ลีกเอิงไปแล้วกว่า 140 นัด และได้ประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพอาชีพนักฟุตบอล เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่พา “เลส์ เบลอส์” ฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก ในปี 2018 ในฟุตบอลโลกที่รัสเซียอย่างยิ่งใหญ่ ปัจจุบันเจ้าตัวติดทีมชาติไปแล้ว 21 นัด ยิงได้ 2 ประตู นาบี เฟคีร์ มีน้องชายอีกคนคือ ยัสซิน เฟคีร์ วัย 22 ปี ซึ่งเล่นในตำแหน่งเดียวกัน และได้ย้ายมาร่วมทีม”เรอัล เบติส”พร้อมกัน

หลังจากมีข่าวย้ายกับทีมดังหลาย ๆ ทีมโดยเฉพาะ”หงส์แดง”ลิเวอร์พูล 1 ในทีมยอดนิยมของแฟนบอลไทย ในฤดูกาลที่แล้ว จนเกือบจะได้มีการเซ็นสัญญาด้วยค่าตัวกว่า 60 ล้านยูโร แต่ทุกอย่างเป็นอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อถูกตรวจพบว่าเจ้าตัวยังมีปัญหาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า แต่ในตลอดฤดูกาลนี้เฟคีร์กลับลงเล่นให้”โอลิมปิก ลียง” ต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่อย่างใด

เฟคีร์กับลิเวอร์พูล ปลายทางที่เรอัล เบติส

เมื่อตลาดซื้อ-ขายนักเตะเปิดตัว มิดฟิลด์แชมป์โลกชาวฝรั่งเศสคนเดิมกลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้ง เมื่อลิเวอร์พูลยังคงพยายามที่จะตามหากองกลางที่สามารถปั้นเกมส์มาแทน “ฟิลิปเป้ คูติญโญ่” ที่ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่า ชื่อของ “นาบี เฟคีร์” จึงถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ โดยเฉพาะการแข่งขันลีกเอิงที่จบลงไป “นาบี เฟคีร์” จึงดูเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างมากเพื่อเป็นตัวแทน 3 แนวรุก พระกาฬที่ใคร ๆ ต่างครั่นคร้ามอย่าง มาเน่-ฟีร์มิโน่-ซาลาร์ ของทีมหงส์แดงในเวลาที่คับขัน หรือทีมต้องการโรเตชั่น ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าเดิม เพราะสัญญาการค้าแข้งของเฟคีร์และต้นสังกัดลดลงเหลือเพียง 1 ปี

วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นาบี เฟคีร์ตกลงย้ายซบ “เรอัล เบติส” อย่างเป็นทางการด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านยูโรเท่านั้น พร้อมออปชั่นเสริมอีก 10 ล้านยูโร และแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการขายให้กับลียงต้นสังกัดเดิม 20% โดยเซ็นสัญญายาวถึง 4 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวเซอร์ไพรส์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากข้อเสนอ 60 ล้านยูโรจากลิเวอร์พูลที่อาจะเป็นเพียง ข่าวลือนั้นไม่สามารถบรรจบกันได้ในที่สุด

บทสรุปอนาคต

เฟคีร์ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่ทำได้ดีหลาย ๆ ตำแหน่งในแนวรุก และทุ่มเทในทุก ๆ สีเสื้อที่ลงเล่น ทำให้โอกาสที่เจ้าตัวจะโชว์ฟอร์มได้ดีและประสบความสำเร็จกับต้นสังกัดอย่างเรอัล เบติส ซึ่งเป็นทีมระดับกลางในลาลีกามีไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะได้เล่นร่วมกับ “โจวานี่ โล เซลโซ่” มิดฟิลด์ทีมชาติอาร์เจนติน่าที่กำลังโชว์ฟอร์มร้อนแรงจนมีข่าวว่าจะย้ายไปร่วมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส 1 ในยอดทีมพรีเมียร์ลีกเช่นกันหรือไม่ก็ตามและด้วยออปชั่นการขายเฟคีร์จากลียง ที่จะได้รับส่วนแบ่งถึง 20% ทันทีเมื่อเฟคีร์ย้ายทีมในครั้งต่อไป บางที”นาบี เฟคีส์”อาจจะเพียงแค่ย้ายมาชุบตัวเพิ่มมูลค่าให้แก่ตนเองรอเวลาขายเพื่อเอากำไรกับสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปต่อไป