post

เปิดตัวสวย นัดแรกในลาลีกาของ โรนัลด์ คูมัน กับงานในฝันที่บาร์เซโลน่า

การกลับคืนสู่ถิ่นคัมป์ นู อีกครั้งของอดีตผู้เล่นระดับตำนานของสโมสรอย่างโรนัลด์ คูมันนั้น แน่นอนว่าสำหรับตัวของเขาเองแล้วนี่มันคืองานในฝัน โดยถึงขนาดที่เจ้าตัวเองลงทุนของเงื่อนไขสัญญากับทุกทีมที่คุมว่าถ้าหากมีสัญญาเรียกตัวจากยานแม่แล้วสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที มันแสดงให้เห็นว่าตัวของคูมันนั้นรักสโมสรแห่งนี้มากเพียงใด แต่การรับงานของเขาในครั้งนี้มันกลับทำให้หลายคนมองว่ามันมีปัญหาที่น่ากังวลหลายอย่างสำหรับเขา

นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์บนยานแม่ในตอนที่เขารับงานมันย่ำแย่อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินที่โดนพิษโควิดกระหน่ำอย่างจัง ยังมีปัญหาฟอร์มตกสุดกู่และทีมสปิริตที่แตกกระเจิงจากผลงานของโค้ชคนก่อน และที่สำคัญเรื่องความร่วงโรยและหมดไฟของแกนหลักของทีมอีกด้วย โดยเฉพาะคนสำคัญที่สุดของทีมอย่างลีโอเนล เมสซี่ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีปัญหาอย่างหนักจนถึงขั้นขอย้ายทีมเลยทีเดียว

คูมันเริ่มต้นงานของเขาด้วยการหาทางออกและรั้งตัวเมสซี่ไว้ได้สำเร็จ อย่างน้อยก็จนกว่าสัญญาของเขากับทีมที่เหลืออยู่จะหมดลงในปีหน้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่าสามารถรักษาขวัญกำลังใจของผู้เล่นคนอื่น ๆ ไว้ได้ ตามมาด้วยการปล่อยผู้เล่นอายุเยอะและไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกไปเพื่อลดรายจ่ายให้กับทีม และค่อย ๆ สร้างทีมของเขาขึ้นมาใหม่

โดยทีมที่เขาจะใช้ไล่ล่าความยิ่งใหญ่กลับมาสู่คัมป์ นูนั้น เมื่อดูจากเกมเปิดฤดูกาลของลาลีกาที่เขาพาบาร์ซ่ายุคใหม่ ไล่ถล่มทีมแกร่งอย่างบียาร์รีลไปถึงสี่ประตูต่อศูนย์นั้นจะเห็นว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยคูมันยังคงใช้เคราร์ด ปีเก้ กองหลังตัวเก๋าลงคุมแนวรับ และยังมีจอร์ดี้ อัลบ้าเติมเกมอยู่ทางฝั่งซ้าย ในแดนกลางยังคงใช้แซร์โจ้ บุสเก็ตส์คอยคุมจังหวะเกม โดยใช้พลังหนุ่มของแฟรงกี้ เด ยองคอยไล่บอลทดแทนสภาพร่างกายที่ช้าลงให้บุสเก็ตส์อีกที ส่วนแนวรุกให้เมสซี่ยืนหน้าเป้าแล้วให้โอกาสคูตินโญ่อีกครั้ง ในบทบาทตัวสนับสนุนอยู่ข้างหลังกัปตัน ส่วนริมเส้นสองฝั่งเป็นอองตวน กรีซมันและเจ้าหนูต่างดาวอย่างอันซู ฟาติ

ซึ่งจากผลงานที่ออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าแผนนี่ไปได้สวย โดยเฉพาะเจ้าหนูอันซู ฟาติที่ตอบแทนความไว้วางใจของนายใหม่ด้วยการกดไปถึงสองประตูแถมเรียกจุดโทษให้กัปตันอีกด้วย และพลังแฝงอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะทำให้ทีมชุดนี้ไปได้สวยก็คือความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองของกรีซมันและคูตินโญ่ ซึ่งทุกคนต่างรู้ว่าในวันที่สองคนนี้อยู่ในฟอร์มสุดยอดพวกเขาน่ากลัวแค่ไหน และการได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งจากคูมันอาจจะจุดไฟให้พวกเขากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ซึ่งมันจะเท่ากลับว่าบาร์ซ่าได้สองผู้เล่นระดับโลกกลับมาโดยไม่ต้องควักเพิ่มเลย

การเปิดตัวได้อย่างสวยงามของโรนัลด์ คูมันและบาร์เซโลน่านั้นถึงแม้ว่ามันจะดูสวยงามซึ่งเป็นธรรมดาของชัยชนะ แต่มันก็เป็นเพียงแค่นัดแรกของฤดูกาลเท่านั้นระยะทางยังอีกยาว แต่มันก็คงเพียงพอให้แฟนบาร์ซ่าที่ห่อเหี่ยวมาจากฤดูกาลก่อน ได้กลับมามีความหวังอีกครั้งอย่างแน่นอน

post

ควันหลงหลังเกมที่ หมาป่าเขี้ยวคมบุกจมเรือใบคาบ้านแบบยับเยิน

นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีเรื่องให้พูดถึงอย่างมากมายเลยทีเดียว สำหรับการที่ทีมเรือใบสีฟ้าโดนจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ บุกถล่มโหดคารังไปถึง 5 ประตูต่อ 2 ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะพบเห็นกันได้ง่าย ๆ สำหรับการที่ทีมใหญ่อย่างซิตี้ แถมมีกุนซือระดับโลกอย่างเป็ป กวาร์ดิโอล่าคุมทีม จะพ่ายแพ้ยับเยินให้กับใครคาบ้านแบบนี้

และสำหรับเรื่องที่น่าสนใจที่จะนำมาพูดถึงหลังเกมการแข่งขัน ที่เป็นเหมือนความฝันอันเลวร้ายของซิตี้ และเป็นการปลุกความฮึกโหมให้กับเลสเตอร์ในครั้งนี้ก็คือ

  1. การประลองเคล็ดวิชาแห่งลามาเซีย

แน่นอนว่าทุกคนทั่วโลกต่างก็รู้ว่าเป็ป กวาร์ดิโอล่านั้นคือผลผลิตโดยตรงจากลามาเซียของแท้ โดยเริ่มตั้งแต่เป็นเยาวชน นักเตะ และโค้ช แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าเบรนดัน ร็อดเจอร์นั้นก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลงใหลในปรัชญาแห่งลามาเซียด้วยเช่นกัน จนถึงกับลงทุนไปเล่าเรียนวิชาลูกหนังสายนี้ถึงสเปนมาเช่นกัน และนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้บีร็อดจ์นั้นสามารถหาวิธีรับมือแท็กติกของเป็ปในเกมนี้ด้วยก็เป็นได้

2.เรื่องของสถิติ

จากผลการแข่งขันในนัดนี้มันกลายเป็นสถิติต่าง ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย โดยสถิติที่ไม่ดีนั้นก็คือมันเป็นการที่เป็ป กวาร์ดิโอล่าคุมทีมแล้วโดนยิงถึงห้าเม็ดเป็นครั้งแรกจากการคุมทีมมากกว่าหกร้อยเกมของเขา และยังเป็นการเสียประตูถึงห้าลูกในบ้านครั้งแรกในรอบ 438 นัดอีกด้วย ส่วนสถิติในทางดีนั้นก็คงจะอยู่ทางฝั่งเลสเตอร์นั่นก็คือพวกเขาสร้างสถิติเป็นทีมที่ได้ประตูจากจุดโทษมากที่สุดที่สามประตูด้วยกัน และเจมมี่ วาร์ดี้ยังกลายเป็นกองหน้าวัยเก๋า (เกิน30) ที่ยิงแฮทริกได้ในรอบ 17 ปีอีกด้วยหลังจากเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮมเคยทำไว้เมื่อครั้งอยู่กับพอร์สมัธ

3.เรื่องของเงินและสุขภาพ

หลายท่านอาจสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับเกมนี้ แต่หากลองมองดูจากสภาพทีมแล้วแมนซิตี้ที่มีแผงเกมรับมูลค่ารวมกันเกือบสองหมื่นล้าน แต่กลับถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานจนเหลือผู้เล่นที่ฟิตเต็มร้อยให้เลือกใช้งานเพียงแค่ไม่กี่คน ในขณะที่เลสเตอร์ใช้ทีมที่มีมูลค่าน้อยกว่าแต่ฟิตกว่าแล้วอัดแท็กติกเข้าไปแล้วเล่นได้อย่างเต็มศักยภาพ ผลมันจึงออกมาอย่างที่เห็นมันจึงทำให้เห็นว่าเงินนั้นสามารถซื้อนักเตะได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพของนักเตะได้เช่นกัน

ชัยชนะในนัดนี้ของเลสเตอร์นั้นมันทำให้พวกเขายังคงเกาะหัวตารางได้อย่างเหนียวแน่น แต่สำหรับทางฝั่งแมนซิตี้เองก็ยังนับว่าดีที่มันเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งมันน่าจะทำให้พวกเขามองเห็นปัญหาและสามารถแก้ได้ทัน ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีอไรให้พูดถึงเยอะหลังเกม แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการตัดสินแชมป์กันเสียเมื่อไหร่ ยังไงก็ยังคงต้องติดตามดูกันไปอีกยาว

post

พระเจ้าก็ยังไม่เว้น ปีศาจแดงดำยืนยันซลาตันติดโควิด-19

ถึงแม้ว่าตัวของซลาตัน อิบราฮิโมวิชนั้นจะได้รับการยกย่องจากแฟนบอลว่าเขาคือพระเจ้า ผู้ที่สามารถจะทำอะไรให้เกิดขึ้นในสนามได้เกินกว่าที่ผู้คนทั่วไปจะทำได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็คือมนุษย์เราคนหนึ่งนี่เอง และมันก็ทำให้เขาไม่ได้ปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19 นี้มากไปกว่าคนอื่น ๆ บนโลกแต่อย่างใด

และเมื่อไม่นานมานี้ทางสโมสรปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะมีการแข่งขันรายการยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกรอบสามในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าผลตรวจของซลาตันนั้นออกมาเป็นบวก ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถลงสนามช่วยทีมในเกมดังกล่าวได้ และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่สองของทีมที่โดนเจ้าเชื้อร้ายนี้เล่นงานต่อจากลีโอ ดูอาร์ต กองหลังชาวบราซิลที่ถูกแยกกักตัวไปก่อนแล้ว

ซึ่งจากผลการตรวจพบดังกล่าวจะทำให้เขาไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้อย่างน้อย ๆ ก็สองเกมคือยูโรป้าลีกที่พบกับ โบโด กลิมท์ และกัลโช่ ซีเรีย อา นัดที่สองของฤดูกาลที่จะ ที่จะบุกไปเยือนโครโตเน่ ส่วนนัดอื่น ๆ นั้นคงจะต้องรอผลการรักษาและการตรวจหาเชื้ออีกที

ถ้าหากว่าการรักษาอาการติดเชื้อครั้งนี้มีอันต้องยืดเยื้อออกไปแล้วละก็ มันจะเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียวต่อทัพปีศาจแดงดำ เพราะถึงแม้ว่าซลาตันจะมีอายุปาเข้าไปถึง 38 ปีแล้ว แต่ผลงานของเขากับดีกว่าแนวรุกคนอื่น ๆ ที่พวกเขามีรวมกันเสียอีก เห็นได้ชัดจากการดึงตัวเขามาร่วมทีมในครึ่งหลังของฤดูกาลก่อน เขาใช้โอกาสที่เหลือของปีลงสนามไป 18 นัด และกดไปถึง 10 ประตู และมันไม่ใช่เพียงแค่ยอดการทำประตูเท่านั้นที่ทำให้เขากลายเป็นส่วนสำคัญของทีม เขายังช่วยให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ในแนวรุกทำผลงานได้ดีขึ้นอีกด้วยเมื่อดูจากผลงานปีก่อนเช่นกันซึ่งพบว่า 19 นัดครึ่งแรกที่ไม่มี   ซลาตัน นั้นทั้งทีมยิงได้เพียงแค่ 16 ประตูเท่านั้นเอง ในขณะที่หลังจากเขาเข้ามายอดถล่มประตูรวมทั้งทีมสูงขึ้นเกือบสามเท่าตัว ในจำนวนเกมการแข่งขันที่เท่ากัน

ในฤดูกาลนี้ก่อนที่จะมีข่าวร้ายนี้กับเขา ผลงานของซลาตันในการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ก็กำลังไปได้สวยทีเดียวเมื่อเขาสามารถเบิกสกอร์ได้ตั้งแต่นัดแรกของปี ในการแข่งขันยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบคัดเลือกรอบที่ 2 กับแชมร็อก โรเวอร์ส ตามมาด้วยการเหมาคนเดียวสองลูกพาทีมเปิดบ้านชนะโบโลญญ่าในนัดเปิดสนามกัลโช่ ซีเรีย อา อีกด้วย

แฟนบอลของทางปีศาจแดงดำคงจะด้องเอาใจช่วยให้พระเจ้าของพวกเขา กลับมาลงสนามให้ได้อีกครั้งโดยเร็วและลุ้นให้ฟอร์มของเขายังไม่ตกลงไปเพราะปัญหาสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าคงไม่น่าห่วงนัก เพราะถึงพระเจ้าองค์นี้จะไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์เหมือนผู้วิเศษ แต่เรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นบอกเลยว่าโควิด-19 คงจะทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

post

การหวนกลับคืนสู่ตูรินอีกครั้งของ อัลวาโร่ โมราต้า

หลังจากที่มีข่าวกับผู้เล่นหลายต่อหลายคน สำหรับการจะเสริมแนวรุกให้กับทีมม้าลายแห่งตูริน ยูเวนตุส และสุดท้ายก็กลายเป็นการดึงตัวอดีตกองหน้าของทีม อย่างอัลวาโร่ โมราต้า ด้วยสัญญายืมตัวมาจากทีมตราหมี แอตเลติโก มาดริด ซึ่งถือเป็นการกลับมาสู่สโมสรเดิมที่เขาเคยประสบความสำเร็จมากพอสมควรของกองหน้าวัย 27 ปีชาวสเปน เรียกได้ว่านี่น่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่แฮปปี้กันทุกฝ่ายเลยทีเดียว

อัลวาโร่ โมราต้านั้นครั้งหนึ่งเมื่อช่วงปี 2014-2016 เขาเคยมาค้าแข้งที่ตูรินมาแล้ว ถึงแม้ว่าผลงานส่วนตัวของเขาจะไม่ได้เลิศหรูนัก โดยทั้งสองฤดูกาลเขาลงสนามให้กับทีม 63 นัด ทำไปทั้งหมด 15 ประตู แต่ความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลของเขากับทีมนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว เพราะเขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์คือสคูเด็ตโต้และโคป้าอิตาเลียได้ทั้งสองฤดูกาลที่อยู่ที่นี่ และนับตั้งแต่ย้ายออกไปเมื่อปี 2016 เขาก็ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสำเร็จการเป็นแชมป์ได้อีกหลายรายการทั้งลาลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกกับเรอัล มาดริด เอฟเอคัพและยูโรป้าลีกกับเชลซี ทำให้สามารถพูดได้ว่าโมราต้านั้นเป็นกองหน้าที่สัมผัสความสำเร็จมาอย่างโชกโชนคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

และอีกหนึ่งเหตุผลที่การกลับสู่ตูรินของโมราต้านั้นน่าสนใจก็คือ ตอนที่เขามาเล่นที่นี่ครั้งก่อนนั้นเพื่อนร่วมทีมของเขาคนหนึ่งก็คือผู้จัดการทีมคนปัจจุบันคือ อันเดรีย ปีร์โล่นั่นเอง ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็มีน่าที่ในการเล่นที่ค่อนข้างจะสอดรับกัน คือคนหนึ่งเป็นคนสร้างสรรค์และจ่ายบอล ส่วนอีกคนหนึ่งมีน่าที่จบสกอร์ดังนั้นเชื่อว่าปีร์โล่นั้นน่าจะเห็นอะไรในตัวอดีตรุ่นน้องในทีมคนนี้อย่างแน่นอนถึงได้ทำการดึงตัวกลับมาร่วมงานอีกครั้ง

การกลับมาในครั้งนี้จะทำให้อัลวาโร่ โมราต้าได้เล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่เป็นผู้เล่นระดับโลกอย่าง คริสเตียนโน่ โรนัลโด้และเปาโล ดีบาล่าอีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายน่าจะช่วยสนับสนุนกันได้เป็นอย่างดีเพราะการมีกองหน้าตัวเป้าอย่างเขาน่าจะทำให้จอมเทคนิคอย่างโรนัลโด้และดีบาล่าเล่นกันได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันการทำเกมรุกของสองคนนั้นก็น่าจะทำให้โมราต้าจบสกอร์ได้มากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน ดังนั้นน่าจะทำได้ดีกว่าสองฤดูกาล 15 เม็ด เหมือนการมาเล่นที่นี่ครั้งก่อนอย่างแน่นอน

ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงการปรับตัวให้เข้ากันระหว่างกุนซือคนใหม่อย่างอันเดรีย ปีร์โล่ กับลูกทีมของเขาทำให้ผลงานของทีมยังมีตะกุกตะกักอยู่บ้าง แต่การที่ได้กองหน้าฝีเท้าคุณภาพอย่างอัลวาโร่ โมราต้าเข้ามาเสริมทีม คงจะช่วยให้พวกเขาทำงานกันได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ที่เหลือก็แค่รอดูว่ากุนซืออย่างปีร์โล่นั้นจะใช้ประโยชน์พวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร เพราะหากดูจากรายชื่อที่มีนั้น ถ้าท็อปฟอร์มพร้อมกันเมื่อไหร่ก็ไม่น้อยหน้าทีมใดในโลกนี้เช่นกัน

post

ส่องฟอร์ม ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เด็กใหม่ของทัพปีศาจแดง

เชื่อว่าแฟนฟุตบอลของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทั่วโลกคงจะคาดหวังกันอย่างยิ่งว่าจะเห็นทีมอันเป็นที่รักของพวกเขา ทำการเสริมทัพแบบยิ่งใหญ่หรือทำการดึงผู้เล่นระดับบิ๊กเนมเข้ามา เพราะหากย้อนกลับไปดูผลงานในฤดูกาลก่อนแล้วจะเห็นว่ามีอีกหลายจุดเลยทีเดียวที่ทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์จะต้องทำการปรับปรุง และทีมเองก็มีข่าวเชื่อมโยงกับผู้เล่นระดับโลกหลายต่อหลายคน

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีดีลระดับนั้นเกิดขึ้นจริงเสียที และผู้เล่นที่ทางสโมสรทำการเปิดตัวกลับเป็นเพียงแค่ดาวรุ่งจากลีกฮอลแลนด์อย่าง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค คนเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งดู ๆ ไปแล้วมันก็ไม่เหมือนเป็นการดึงตัวเข้ามาแก้ปัญหาให้กับทีมอีกด้วยน่าจะเป็นการซื้อเพื่ออนาคตเสียมากกว่า เพราะในแผงกองกลางของทีมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนักนอกจากอาการบาดเจ็บและลูกงอแงของป็อกบาเท่านั้นเอง และตำแหน่งเขาดันไปทับกับสองผู้เล่นตัวหลักอย่างป็อกบากับบรูโน่โดยตรงอีกด้วย

แต่ไม่ว่าการดึงตัวกองกลางชาวดัตช์มาร่วมทีมในครั้งนี้จะเป็นเพราะจุดประสงค์ใด ตอนนี้เขาก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโรงละครแห่งความฝันแล้ว และจากผลงานที่ผ่านมาของเขาในลีกบ้านเกิดก็นับว่าเป็นนักเตะที่พอจะฝากอนาคตของทีมในระยะยาวได้ และกับทีมใหม่เขาก็มีโอกาสได้ลงสนามไปหลายนัดแล้วเช่นกัน และผลงานก็ดูจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่แต่อย่างใด

โดยในพรีเมียร์ลีกที่พึ่งจะมีการแข่งขันไปทั้งหมดแค่สองนัดนั้น ด้วยการที่เขาทัพตำแหน่งโดยตรงกับบรูโน่และป็อกบาทำให้เขายังไม่มีโอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเลย แต่ก็ได้รับโอกาสลงสัมผัสสนามทั้งสองเกมนานะตัวสำรอง และถึงแม้ว่าการลงสนามของเขาสองนัดจะรวมกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่เขาก็ยังสามารถทำได้หนึ่งประตู แถมนัดล่าสุดที่ชนะไบรจ์ตัน 3 ประตูต่อ 2 ที่เขาลงมาในนาทีสุดท้ายก็สามารถช่วยให้ทีมได้คอนเนอร์ที่นำไปสู่การได้จุดโทษและเป็นประตูชัยในที่สุดอีกด้วย

ส่วนอีกรายการคือคาราบาวคัพนั้นโอเล่ก็ให้โอกาส ฟาน เดอ เบ็ค ลงสนามเป็นตัวจริงทั้งสองนัดของรายการ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมเอาชนะได้ทั้งสองนัดคือการชนะลูตัน ทาวน์ และไบรจ์ตันด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งสองนัด และผลงานส่วนตัวของฟาน เดอ เบ็คก็สามารถเก็บมาได้อีกหนึ่งแอสซิสต์จากสองเกม

เมื่อดูจากการเริ่มต้นฤดูกาลของดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กับทีมใหม่ของเขาแล้ว ก็ต้องบอกว่าพอจะคาดหวังให้ผลงานของเขาช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับแผงกองกลางปีศาจแดง เพราะดูแล้วทักษะและสไตล์การเล่นของเขาเข้ากันได้อย่างดีกับกองกางพลังหนุ่มของผีแดง และถ้าหากว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์สามารถจัดการให้พวกเขาเล่นร่วมกันได้อย่างลงตัวแล้วละก็ พลังการบุกจากแดนกลางของพวกเขาจะน่ากลัวขึ้นมากเลยทีเดียว

post

อีกสักครั้งกับรางวัลแห่งความสำเร็จของเมสซี่

ฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้อีกสมัย และได้รองแชมป์โคปา เดลเรย์ สำหรับสโมสรอื่น นี่อาจจะเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว แต่กับบาร์เซโลน่าพวกเขากลับไม่พอใจเพียงเท่านี้ พวกเขาต้องตกรอบฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีกอีกฤดูกาลไปอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ดีแม้ผลงานของทีมบาร์เซโลน่าอาจจะยังไม่เป็นที่ถูกใจแฟนบอลอีกหลาย ๆ คน แต่นั่นไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของลิโอแนล เมสซี่ ในวัย 32 ปีซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกัปตันทีม และรักษาผลงานในสนามได้ในระดับสุดยอดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ยุคของเมสซี่และโรนัลโด้ยังไม่จบลง

เมสซี่ในวัย 32 และโรนัลโด้ในวัย 35 พวกเขาทั้งสองคนยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โรนัลโด้คว้าดาวซัลโวกัลโช่เซเรียอาในขณะที่เมสซี่ก็คว้ารางวัลดาวซัลโวลาลีกาไปครอบครอง ในฤดูกาลนี้แม้ว่าเมสซี่จะต้องเริ่มต้นฤดูกาลด้วยอาการบาดเจ็บ และยังไม่ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเลย รวมถึงความฟิตที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่เมื่อยามที่กัปตันทีมคนเก่งของอาร์เจนตินาและบาร์เซโลน่าได้สัมผัสบอลในพื้นสนามเมื่อไหร่ คู่แข่งยังให้ความเคารพและครั่นคร้ามในฝีเท้าที่มีพรสวรรค์เหมือนใครของเขา ในหลายครั้งที่คู่แข่งของเมสซี่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลย แต่เป็นความมหัศจรรย์ของเมสซี่เสียเองที่เปลี่ยนแปลงโอกาสที่ได้รับไม่มากให้กลายเป็นประตูนำมาสู่ชัยชนะให้กับทีมได้เสมอ

สถิติสำคัญที่ต้องทำลายให้จงได้

กว่า 15 ปีบนเส้นทางลูกหนังของลิโอเนล เมสซี่ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ นักฟุตบอลจอมทำลายสถิติอย่างแท้จริงและมีสถิติสำคัญที่รอทำลายอีกมากในระยะเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นให้บาร์เซโลน่าหรือทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นจำนวนนัดมากที่สุด การทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลีกา ซึ่งปัจจุบันเมสซี่ทำไปแล้ว 33 ครั้ง โดยสถิติในลาลีกาสเปนยังเป็นของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ทำไปแล้ว 34 ครั้ง รวมถึงการทำลายสถิติการคว้าแชมป์จำนวนครั้งสูงสุดซึ่งในปัจจุบันสถิตินี้เป็นของไรอัน กิ๊กส์แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำเอาไว้ 36 ครั้งปัจจุบันเมสซี่คว้าแชมป์ไปแล้วทั้งสิ้น 34 รายการ และอีกสถิติที่เมสซี่มีโอกาสจะทำลาย ที่คาดว่าสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของเมสซี่และชาวอาร์เจนตินาคือการทำลายสถิติการยิงประตูของเปเล่ในสโมสรเดียว โดยปัจจุบันเมสซี่ยิงให้บาร์เซโลน่าไปแล้ว 604 ประตู เขายังขาดอีก 40 ประตู จะทำลายสถิติของเปเล่ที่ยิงประตูไปทั้งสิ้น 643 ประตูให้กับซานโต๊สสโมสรชื่อดังในบราซิล

ลุ้นบัลลงดอร์สมัยที่ 6

เมสซี่และโรนัลโด้นั้นได้รางวัลลูกบอลทองคำหรือบัลลงดอร์เท่ากันที่ 5 สมัย และในปีนี้ ถึงแม้ผลงานของบาร์เซโลน่าและอาร์เจนติน่าจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผลงานส่วนตัวของเมสซี่ ยังนับว่าอยู่ในระดับสุดยอด เมสซี่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจาก FIFA เป็นครั้งที่ 6 โดยได้รับคะแนนเหนือเวอร์จิลฟานไดค์กัปตันทีมชาติฮอลแลนด์และนักเตะของลิเวอร์พูลแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดแบบพลิกความคาดหมาย และเพิ่งคว้ารางวัลรองเท้าทองคำสมัยที่ 6 เช่นกัน แต่สำหรับรางวัลบัลลงดอร์หรือลูกบอลทองคำนั้น เมสซี่ยังคงตกไปลองคู่แข่งหน้าเดิมอย่างฟานไดค์อยู่หลายช่วงตัว แต่ไม่ว่าเมสซี่หรือฟาน ไดค์ใครจะได้รับรางวัลนี้ไปครอบครอง ก็นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟานไดค์ที่สามารถเอาชนะเมสซี่ในการพบกันโดยตรงระหว่างบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูล

post

มาร์ค บาตร้ากองหลังรูปงามหัวใจบาร์ซ่า

มาร์ค บาตร้า เกิดเมื่อ 15 มกราคม 1991 เขาคือกองหลังชาวคาตาลันโดยกำเนิด เขามีส่วนสูง 1.83 ซม. ซึ่งไม่ได้จัดว่าสูงสำหรับกองหลัง แต่ก็เพียงพอที่จะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอสมควร เพราะจุดเด่นของบาตร้าคือการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี อันเป็นมรดกที่นักเตะเยาวชนจากบาร์ซ่ามักจะทำได้ดีกันทุก ๆ คน บาตร้าเล่นให้บาร์เซโลน่าทั้งสิ้น 59 นัดก่อนย้ายไปเล่นกับสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลีกาเยอรมัน และกลับมาเล่นลาลีกาอีกครั้งกับสโมสรเรอัล เบติสในฤดูกาลนี้มาร์ค บาตร้าติดทีมชาติสเปน 14 ครั้งและยังเคยลงเล่นให้ทีมชาติคาตาโลเนีย อีก 6 ครั้ง

เริ่มต้นความฝันกับบาร์เซโลน่า

มาร์คบาตร้าเหมือนนักฟุตบอลอีกหลาย ๆ คนที่มีความฝันจะได้เล่นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าและประสบความสำเร็จกับทีมเหมือนที่คาร์เลส ปูโยลหรือเคราร์ด ปีเก้เป็น บาตร้าเริ่มสร้างชื่อเสียงและพัฒนาฝีเท้าจนได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ในทีมที่เป็นทั้งกัปตันทีมและกลายเป็นตำนานของทีมไปแล้ว อย่างคาร์เลส ปูโยลเริ่มมีอาการบาดเจ็บและโรยราลงไป ซึ่งแม้ว่าบาตร้าเองจะได้รับการผลักดันจากโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า และหลุยส์ เอ็นริเก้พอสมควรในตอนนั้นและลงเล่นให้บาร์เซโลน่าไปถึง 59 นัด แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บและการขาดการต่อเนื่องจากการลงสนามรวมถึงการย้ายมาของซามูเอลอุมติตี้กองหลังดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสในตอนนั้นจากสโมสรโอลิมปิก ลียงในฝรั่งเศส โอกาสของเขาก็ดูจะน้อยลงเรื่อย ๆ และต้องย้ายทีมในที่สุด

ช่วงเวลาที่ดีและร้ายในบุนเดสลีกา

แม้ว่าเส้นทางฝันของบาตร้ากับบาร์ซ่าจะเดินไปได้ร่วมกันไม่สุดทางแต่การย้ายมาร่วมทัพทีมใหญ่อย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังเป็นอะไรที่ท้าทาย และพิสูจน์ฝีเท้าของบาตร้าอย่างแท้จริง บาตร้าได้กลายเป็นนักเตะหลักในแนวรับของดอร์ทมุนด์ในทันที และลงเล่นไปถึง 31 นัดในเกมบุนเดสลีกา แต่บาตร้ากลับต้องมาได้รับบาดเจ็บจากการถูกวางระเบิดรถบัสของสโมสรถึง 4 สัปดาห์ แถมยังมีปัญหากับแฟนบอลดอร์ทมุนด์บางกลุ่มที่ไม่พอใจการที่บาตร้าโพสต์เชียร์บาร์เซโลน่าการทำศึกเอล กลาสซิโก้กับเรอัล มาดริด รวมถึงยังโพสต์ยกย่องลิโอแนล เมสซี่ทางทวิตเตอร์ ทำให้มีกลุ่มแฟนบอลจำนวนนึงสาปส่งกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่เขาต้องย้ายกลับสเปนในปีต่อมานั่นเอง

กลับสู่ลาลีกาสเปนกับทีมยักษ์เขียว

 การย้ายกลับสู่ลาลีกาเสปนกับทีมยักษ์เขียว “เรอัล เบติส” อาจจะทำให้บาตร้ากลับมามีความสุขและเล่นในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง หลังจากต้องพบกับปัญหาในบุนเดสลีกากับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์แบบไม่คาดคิดในบางเรื่อง การเล่นภายในทีมของกุนซือ “รูบี้” ผู้มีประสบการณ์การคุมเอสปัญญ่อลอีกหนึ่งสโมสรใหญ่ในแคว้นคาตาลันมาแล้ว อาจจะทำให้บาตร้ากลับสู่การเล่นที่เป็นตนเองอีกครั้งในวัย 28 ปี ซึ่งในวันที่บาร์เซโลน่ายังมีปัญหากองหลังตัวกลางเมื่ออุมติตี้ เจ็บเขาเรื้อรัง, ปีเก้เริ่มโรยรา บางทีอาจจะถึงเวลาของมาร์ค บาตร้ากองหลังหนุ่มรูปงามคนนี้กลับไปโลดแล่นในเสื้อสีเลือดหมู น้ำเงินอีกครั้ง

post

กูตีตำนานแห่งราชันย์ ผู้พร้อมรับไม้ผลัดจากซีดาน?

กูตีมีชื่อเต็มว่า “โฆเซ่ มาเรีย กูเตียเรซ” เขาเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1976 ในวัยเด็กนั้นเขามีพรสวรรค์ในกีฬาเทนนิสเป็นอย่างมากแต่กลับเลือกเล่นฟุตบอลแทน โดยมีสโมสรอันเป็นที่รักสโมสรเดียวในดวงใจนั่นคือ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริดนั้นเอง ซึ่งกูตีเล่นให้สโมสรชุดขาวของลาลีกาสเปนเกือบตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขา ก่อนจะย้ายไปเบซิคตัสในช่วงก่อนแขวนสตั๊ด

กูตีผู้เคยเกือบถูกลืม

กูตีคือมาดริสต้าอย่างแท้จริงเขาเริ่มเล่นให้เรอัล มาดริดตั้งแต่ปี 1994 ในชุดซีและเริ่มไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เล่นชุดใหญ่ในปีถัดมา กว่า 6 ปีที่กูตีได้มีโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริดประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ไม่แพ้ผลงานในสนามเลย เรอัล มาดริดเต็มไปด้วยผู้เล่นมีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฌฟอนันโด เรดอนโด้, โรแบร์โต้ คาลอส, ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งแม้ว่าชื่อของกูตีอาจจะไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับแฟนบอลเรอัล มาดริดแล้วเขาคือหนึ่งในคนสำคัญ กูตีเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลาย เขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในกองกลาง หรือแม้แต่กองหน้าก็สามารถเล่นได้

จากยอดนักเตะสู้ยอดโค้ช

กูตีคุมทีมเรอัล มาดริดชุดเยาวชนมากกว่า 7 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์มากมาย โดยเฉพาะการสร้างประวัติศาสตร์สโมสรด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปี 2017 ในครั้งแรกที่ซีเนดีนซีดานบอกลาทีมไปทีมได้แต่งตั้งฆูเล็น โลเปเตกลีอดีตกุนซือทีมชาติสเปน เข้ามาคุมทีมแทนแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งเรอัล มาดริดได้ตั้งซานติอาโก้ โซลารี่หัวหน้าผู้ฝึกสอนจากเรอัล มาดริดคาสติญย่ามาคุมทีมช่วงสั้น ๆ แต่ก็ไปได้ไม่รอดเช่นกัน ชื่อของกูตีจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งกุนซือเรอัล มาดริดในทันที ก่อนที่ซีเนอดีน ซีดานจะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ปัจจุบันกุตีได้ไปเป็นผู้ช่วยของอับดุลลา อวิชี่ ผู้จัดการทีมสโมสรเบซิคตัสในตุรกี เพื่อหาประสบการณ์

ราชันย์ที่แสนยุ่งเหยิง

ปัจจุบันเรอัล มาดริดของซีเนดีน ซีดานยังอยู่ในฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูเง่ายแนวรุกของทีมก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ในลาลีกาพวกเขายิงไปเพียง 16 ประตูเท่านั้นทั้ง ๆ ที่มีแนวรุกระดับโลกอยู่มากมาย ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกที่พวกเขาเป็นเต้ยของถ้วยนี้ ก็เพิ่งถูกปารีสแซงต์ แชร์แมงยำใหญ่มาถึง 3-0 แต่เทพีแห่งโชคยังอยู่กับทีมชุดขาวเมื่อคู่ปรับโดยตรงอย่างบาร์เซโลนาและแอตเลติโก มาดริดฟอร์มออกทะเลพร้อมกับพวกเขา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนทีมใหญ่จากแคว้นคาตาลันอย่างบาร์เซโลน่าเริ่มกลับมาเก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายนัดส่วนทีมตราหมีเพื่อนร่วมเมืองก็เริ่มกลับมาแล้ว เก้าอี้ของซีดานกำลังร้อนฉ่าเลยทีเดียว นี่อาจจะเป็นโอกาสอีกครั้งที่กูตีจะได้กลับเรอัล มาดริดที่เขารักเพียงแต่ไม่ใช่ในฐานะนักเตะเท่านั้นเอง

post

มาราโดน่าผู้เป็นเสมือนพระเจ้าของชาวอาร์เจนตินา

D10s หนึ่งในฉายาของดีเอโก้มาราโดน่า เป็นการตกแต่งตัวอักษร จากคำว่า Dios ที่แปลว่าพระเจ้าในภาษาละตินนั่นเอง ชื่อเต็มของเขาคือดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 มาราโดน่าเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ เขาคือนักฟุตบอลคนที่ 2 ของโลกต่อจากเปเล่ที่ได้รับการสรรเสริญว่ามีฝีเท้าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ก่อนที่ในสองทศวรรษที่ผ่านมาจะมีชื่อของลิโอเนล เมสซี่และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขึ้นมาเทียบเคียง

แอนตี้ฮีโร่ตัวจริง

มาราโดนาเกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 4 โดยมีพี่สาว 3 คนและน้องชายอีก 2 คน เขาสูงเพียง 1.65 ม. เท่านั้น แม้แต่ในช่วงที่เจ้าตัวฟอร์มดีมาก ๆ เขาก็มีน้ำหนักถึง 76 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น้ำหนักน้อยกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้เพียง 12 กิโลกรัม แต่เตี้ยกว่าโรนัลโด้ ถึง 22 ซม.) ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหนเขาก็ไม่น่าจะเป็นนักกีฬาหรือนักฟุตบอลที่เก่งได้เลยหากพิจารณาจากสรีระของเขา เขามีฉายาในตอนเด็กคือ “เปรูโซ่” (ไอ้หัวฟู) อันมาจากทรงผมของเขา แต่โค้ชมักจะเรียกเขาว่า “ไอ้อ้วน” โดยในครั้งหนึ่งของการแข่งขันระดับเยาวชน มาราโดน่าที่เป็นเพียงตัวสำรองและดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากโค้ชเลย ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังตามหลังอยู่ 3-1 ทีมกำลังจะแพ้ โค้ชของเขาได้ตะโกนเรียกให้มาราโดน่าวอร์มก่อนส่งลงไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันทีด้วยอาการฉุนเฉียว ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นเขาต้องตกตะลึงเมื่อทีมของเขาพลิกกลับมาชนะได้ 5-3 โดยที่ “ไอ้เด็กอ้วน” ที่เขาเคยดูแคลนคนนี้ยิงแฮตทริกได้ในเกมนั้น

ชีวิตที่ติดลบกับการเป็นตัวตนของตัวเอง

ตลอดชีวิตของการค้าแข้งมาราโดน่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องของโคเคนซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกถึงการปฏิเสธ ทำให้เขามาจะโดนลงโทษจากทางสโมสรและทางกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาการติดโคเคนของเขาส่วนหนึ่งมาจากการรักษาอาการบาดเจ็บเนื่องจากในฟุตบอลยุคก่อนนักฟุตบอลในเกมรุกเช่นเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรรมการมากเท่าเทียมกับปัจจุบันทำให้เขาต้องเผชิญกับการเข้าบอลหนักจนเป็นที่มาของอาการบาดเจ็บเสมอ แต่การได้รับคำดูถูกจากแฟนบอลคู่แข่งไม่เคยสร้างความอ่อนไหวให้กับเขาเลย เพราะ 2 สิ่งในฟุตบอลที่เขาแคร์ที่สุดคือทีมชาติอาร์เจนตินาและโบคา จูเนียร์สโมสรที่เขารักหมดใจตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาเป็นนักต่อสู้และไม่เคยลืมว่าเขามาจากที่ใด มาราโดน่าผู้ไม่เคยเสแสร้ง เขาแสดงออกอย่างลิงโลดทุกครั้งที่ทีมได้ชัยชนะที่สำคัญ และเดินร้องไห้อย่างไม่อายใครเมื่อทีมที่เขารักต้องพ่ายแพ้ นี่คือมาราโดน่าผู้ซึ่งเป็นขวัญใจของชนชั้นแรงงานผู้ยากจนของชาวอาร์เจนตินา

เมสซี่และมาราโดน่า

ผู้คนมักจะเปรียบเทียบ 2 อัจฉริยะต่างยุคกันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าสองคนนี้จะมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน สวมหมายเลข 10 เหมือนกัน, เล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาและสโมสรบาร์เซโลน่าเหมือนกัน หรือแม้แต่เคยเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามจากกลางสนามเข้ามายิงประตูได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้ว 2 คนนี้มีอีกหลายอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมสซี่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ส่วนมาราโดนาเป็นกองกลางเสียมากกว่า หรือจะเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ เมสซี่ดูจะเป็นกัปตันทีมที่สุขุม พูดน้อย จนหลายครั้งสื่อโจมตีเขาว่า เมสซี่มักจะถอดใจก่อนลูกทีมเสียอีก ในขณะที่มาราโดน่าเขาคือผู้นำอย่างแท้จริงทุกคนในทีมต่างพยายามหนักทำงานเพื่อเขาแย่งบอลมาแล้วส่งให้เขา แต่ไม่ว่าจะมีการเปรียบเทียบกันอย่างไร แฟนบอลคือผู้ที่ได้กำไรจากการได้ชมฝีเท้าอันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองคน

post

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของโบคา จูเนียร์

โบคา จูเนียร์ส คือหนึ่งสโมสรใหญ่ในอาร์เจนตินา ก่อตั้งเมื่อ 3 เมษายน 1905 ในกรุงบัวโนสไอเรสร่วมกับริเวอร์เพลท พวกเขา เป็นเจ้าของสนามลา บอมโบเนร่ที่เก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังซึ่งมีความจุสนามกว่า 49,000 คน โบคา จูเนียร์คือทีมขวัญใจชนชั้นแรงงานชาวอาร์เจนตินาและเป็นสโมสรในดวงใจของดีเอโก้ มาราโดน่านักฟุตบอลที่ชาวอาร์เจนตินายกย่องให้เป็นพระเจ้าของพวกเขา

โบคา จูเนียร์กับฟุตบอลลีกอาเจนติน่า

สโมสรชั้นนำในอเมริกาใต้ต่างจากสโมสรระดับ ท็อปของยุโรปโดยสิ้นเชิง ขณะที่สโมสรดังอยากบาร์เซโลน่าหรือเรอัล มาดริดต่างควานหาเพชรเม็ดงามจากสโมสรอเมริกาใต้เหล่านี้ โบคา จูเนียร์หรือสโมสรชั้นนำอื่น ๆ กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะพวกเขาอยากจะขายนักเตะมีชื่อของตนเองเพื่อให้ได้ราคามากที่สุด ทั้งนี้เพื่อโอกาสของตัวนักเตะเองที่จะได้มีสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองเหมือนรุ่นพี่ทีมชาติอาร์เจนตินอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ต่างเป็นแบบอย่าง เป็นความฝันของเด็ก ๆ ชาวอาร์เจนตินา ประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็ก ๆ หลายคนเกิดในครอบครัวที่ยากจน ฟุตบอลจึงแทบจะเป็นทุกอย่างของเด็ก ๆ เหล่านี้และเป็นโอกาสของครอบครัวของพวกเขา ทำให้ในบางฤดูกาลที่สโมสรที่เป็นแชมป์ของประเทศแต่ในฤดูกาลถัดมาพวกเขากลับต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตกชั้นทั้งนี้เพราะนักเตะในทีมคนสำคัญบางคนย้ายออกไปเล่นบอลสโมสรในยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่

โบคาและริเวอร์เพลท

ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง โดยเฉพาะริเวอร์เพลท คู่ปรับร่วมเมืองภายใต้การนำของมาร์เซโล่ กายาร์โด้พวกเขาคว้าแชมป์โคปาลิเบอร์ตาโดเรสได้เป็นว่าเล่น ส่วนโบคาจู เนียร์เองก็คว้าคว้าแชมป์ลีกอาเจนติน่าเป็นครั้งที่ 33 สำเร็จ แต่ก็ยังตามหลังริเวอร์เพลทซึ่งเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดที่ 36 สมัย และถึงแม้ว่าทีมเหลือง-ทองแห่งเมืองหลวงจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนแฟนบอลและบริหารจะไม่พอใจนักกับการที่ต้องพลาดแชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรสคัพด้วยน้ำมือของริเวอร์เพลท หรือความกดดันที่เกินแบกรับไหว ทำให้กุนซืออดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลอย่างกิแยร์โม เชล็อตโต้ต้องอำลาจากทีมไปในที่สุด

โบคาในยุคของกุนซืออัลฟาโร่

กุสตาโว อัลฟาโร่ คือกุนซือชาวอาร์เจนตินาวัย 57 ปีซึ่งมีประสบการณ์การคุมทีมยาวนานเกือบ 30 ปีในลีกอาร์เจนติน่า แต่กับการคุมบังเหียนสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างโบคาที่มีนักเตะชื่อดังตัวเก๋าในทีมอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เมาโร ซาราเต้ คงเป็นงานที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา ในเวลานี้โบคา จูเนียร์นำเป็นจ่าฝูงร่วมกับริเวอร์เพลทและอาร์เจนติโนส จูเนียร์สโดยทีมหลังเล่นน้อยกว่า 1 นัด ส่วนริเวอร์เพลทยังมีเกมนัดชิงชนะเลิศโคปาลิเบอร์ตาดอเรสครับรออยู่ การลุ้นแชมป์ลีกอาร์เจนติน่าสมัยที่ 34 จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโบคาของอัลฟาโร่ แต่คงเป็นงานที่ไม่ง่ายแต่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว