post

แดงเดือนผีหงส์ยังเดือดเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือดราม่า var

เชื่อว่าไม่มีคอบอลคนใดที่ไม่รู้จักศึกแดงเดือด เพราะนั่นคือการโคจรมาพบกันของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2 สโมสรยอดนิยมที่แฟนบอลชาวไทยติดตามมากที่สุด ลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ด คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเกาะอังกฤษ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปมากกว่าคือ 6 สมัย (แมนยูไนเต็ดได้ 3 สมัย) แต่แมนยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมถึง 20 สมัย (สถิติสูงสุด) ส่วนลิเวอร์พูลได้เพียง 18 สมัยเท่านั้นและครั้งสุดท้ายก็เป็นปี 1989 เกือบ 30 ปีแล้วที่ลิเวอร์พูลอดีตราชาแห่งเกาะอังกฤษต้องห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดจนถูกปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแซงไปได้ในที่สุด

ปีศาจแดงชนะมากกว่าแต่หงส์แดงพร้อมกว่า

สถิติการพบกันของทั้งสองทีมในศึกแดงเดือดด้วยนับทุกรายการแข่งขัน ทั้งสองทีมที่พบกันทั้งสิ้น 203 นัด แมนฯยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 80 นัด ลิเวอร์พูลชนะได้เพียง 66 นัดและเสมอกัน 57 นัด ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองทีมมาพบกันมักจะเป็นการลุ้นแชมป์ของทั้งสองทีมร่วมกัน แต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอกูสันอดีตบรมกุนซือของปีศาจแดงปลดระวางตนเองไปและลิเวอร์พูลได้เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือเฮฟวี่เมทัลชาวเยอรมันมาคุมทีม ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะพัฒนาทีมขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเวทียุโรปหงส์แดงในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์สามารถเข้าชิงยูฟ่าแชมป์เปียนลีกได้ถึง 2 ปีติด และได้แชมป์มาหนึ่งครั้งในปีล่าสุดที่ผ่านมา แต่แมนฯยูไนเต็ดต้องเปลี่ยนกุนซือหลายต่อหลายคนจนกระทั่งในปัจจุบันได้โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์อดีตตำนานนักเตะขวัญใจในยุคเฟอร์กูสันมาคุมทีมปีศาจแดงอาการยังไม่ดีขึ้น โดยก่อนแข่งพวกเขาอยู่อันดับที่ 12 จะมีคะแนนห่างจากลิเวอร์พูลจ่าฝูงถึง 15 คะแนน เก้าอี้ของโซลชากำลังร้อนทีเดียว

ดราม่า var

เมื่อเกมแดงเดือดเริ่มขึ้นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดสนามเหย้าของแมนฯยูไนเต็ด ด้วยฟอร์มการเล่นและสภาพความพร้อมของนักเตะแล้ว ดูเหมือนหงส์แดงผู้มาเยือนจะเป็นต่อไม่น้อย แมนยูฯขาดทั้งปอล ป็อกบา, อ็องตัวนี่ มาร์กซิยาล แต่โชคดีที่พวกเขาได้ดาบิด เด เค อาผู้รักษาประตูกัปตันทีมกลับมาจากอาการบาดเจ็บส่วนลิเวอร์พูลขาดเพียงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกตัวเก่งคนเดียวเท่านั้น เกมในครึ่งแรกกลับเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่เล่นได้ดีกว่า และทำประตูขึ้นนำไปได้ในที่สุด 1-0 จากมาร์คัส แรชฟอร์ดกองหน้าคนเก่งของทีม แต่ที่ถูกพูดถึงมากกว่าประตูของเจ้าบ้าน คือการตัดสินของมาร์ติน แอตกินสัน ที่ไม่เป่าฟาวล์ในจังหวะที่ลินเดอเลิฟกองหลังของแมนยูเขาสกัดโอริกี้กองหน้าของลิเวอร์พูลที่ได้โอกาสลงแทนซาลาร์ ทำให้ลิเวอร์พูลเสียบอลในจังหวะนี้และนำมาสู่การได้ประตูของแมนยูในที่สุด เมื่อดูจากVAR แล้ว จะเห็นได้ว่าการเข้าบอลของลินเดอเลิฟโดนโอริกี้เต็ม ๆ กลายเป็นคำถามถึงเรื่องคำตัดสินและการนำVAR มาใช้ว่าจะช่วยให้เกมฟุตบอลเป็นกีฬาที่ขาวสะอาดและยุติธรรมขึ้นจริงหรือไม่  แต่ไม่ว่าอย่างไร ต้องยอมรับว่าแนวรุกของแมนยูก็ประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยมจนนำมาซึ่งประตูในที่สุด

จบเกมด้วยผลเสมอที่น่าพอใจ?

ลิเวอร์พูลที่เป็นต่อก่อนลงแข่งขันในเกมนี้ แต่กลับเล่นได้ย่ำแย่ ในขณะที่แมนยูฯที่อาจจะมองว่าเขาได้ประโยชน์จากการตัดสินของ VAR และผู้ตัดสิน แต่ปีศาจแดงคือทีมที่เล่นดีกว่าเกือบทั้งเกมและน่าจะเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำก่อนจบลงด้วยผลเสมอในที่สุด จากผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอในเกมนี้ทำให้ลิเวอร์พูลต้องหยุดสถิติชนะรวด และลดช่องว่างคะแนนที่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้เหลือเพียง 6 คะแนน ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 และมีคะแนนเพียง 10 คะแนนห่างจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทีมในโซนตกชั้นอยู่เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ชัยชนะหลุดลอยไปจากทีมเจ้าบ้านอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นผลการแข่งขันที่เหมาะสมแล้วเพราะลิเวอร์พูลก็อาจจะไม่ควรมือเปล่าในศึกแดงเดือด ที่ยังดุเดือดสมชื่อเช่นกัน

post

อีกสักครั้งกับรางวัลแห่งความสำเร็จของเมสซี่

ฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้อีกสมัย และได้รองแชมป์โคปา เดลเรย์ สำหรับสโมสรอื่น นี่อาจจะเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว แต่กับบาร์เซโลน่าพวกเขากลับไม่พอใจเพียงเท่านี้ พวกเขาต้องตกรอบฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีกอีกฤดูกาลไปอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ดีแม้ผลงานของทีมบาร์เซโลน่าอาจจะยังไม่เป็นที่ถูกใจแฟนบอลอีกหลาย ๆ คน แต่นั่นไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของลิโอแนล เมสซี่ ในวัย 32 ปีซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกัปตันทีม และรักษาผลงานในสนามได้ในระดับสุดยอดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ยุคของเมสซี่และโรนัลโด้ยังไม่จบลง

เมสซี่ในวัย 32 และโรนัลโด้ในวัย 35 พวกเขาทั้งสองคนยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โรนัลโด้คว้าดาวซัลโวกัลโช่เซเรียอาในขณะที่เมสซี่ก็คว้ารางวัลดาวซัลโวลาลีกาไปครอบครอง ในฤดูกาลนี้แม้ว่าเมสซี่จะต้องเริ่มต้นฤดูกาลด้วยอาการบาดเจ็บ และยังไม่ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเลย รวมถึงความฟิตที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่เมื่อยามที่กัปตันทีมคนเก่งของอาร์เจนตินาและบาร์เซโลน่าได้สัมผัสบอลในพื้นสนามเมื่อไหร่ คู่แข่งยังให้ความเคารพและครั่นคร้ามในฝีเท้าที่มีพรสวรรค์เหมือนใครของเขา ในหลายครั้งที่คู่แข่งของเมสซี่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลย แต่เป็นความมหัศจรรย์ของเมสซี่เสียเองที่เปลี่ยนแปลงโอกาสที่ได้รับไม่มากให้กลายเป็นประตูนำมาสู่ชัยชนะให้กับทีมได้เสมอ

สถิติสำคัญที่ต้องทำลายให้จงได้

กว่า 15 ปีบนเส้นทางลูกหนังของลิโอเนล เมสซี่ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ นักฟุตบอลจอมทำลายสถิติอย่างแท้จริงและมีสถิติสำคัญที่รอทำลายอีกมากในระยะเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นให้บาร์เซโลน่าหรือทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นจำนวนนัดมากที่สุด การทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลีกา ซึ่งปัจจุบันเมสซี่ทำไปแล้ว 33 ครั้ง โดยสถิติในลาลีกาสเปนยังเป็นของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ทำไปแล้ว 34 ครั้ง รวมถึงการทำลายสถิติการคว้าแชมป์จำนวนครั้งสูงสุดซึ่งในปัจจุบันสถิตินี้เป็นของไรอัน กิ๊กส์แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำเอาไว้ 36 ครั้งปัจจุบันเมสซี่คว้าแชมป์ไปแล้วทั้งสิ้น 34 รายการ และอีกสถิติที่เมสซี่มีโอกาสจะทำลาย ที่คาดว่าสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของเมสซี่และชาวอาร์เจนตินาคือการทำลายสถิติการยิงประตูของเปเล่ในสโมสรเดียว โดยปัจจุบันเมสซี่ยิงให้บาร์เซโลน่าไปแล้ว 604 ประตู เขายังขาดอีก 40 ประตู จะทำลายสถิติของเปเล่ที่ยิงประตูไปทั้งสิ้น 643 ประตูให้กับซานโต๊สสโมสรชื่อดังในบราซิล

ลุ้นบัลลงดอร์สมัยที่ 6

เมสซี่และโรนัลโด้นั้นได้รางวัลลูกบอลทองคำหรือบัลลงดอร์เท่ากันที่ 5 สมัย และในปีนี้ ถึงแม้ผลงานของบาร์เซโลน่าและอาร์เจนติน่าจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผลงานส่วนตัวของเมสซี่ ยังนับว่าอยู่ในระดับสุดยอด เมสซี่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจาก FIFA เป็นครั้งที่ 6 โดยได้รับคะแนนเหนือเวอร์จิลฟานไดค์กัปตันทีมชาติฮอลแลนด์และนักเตะของลิเวอร์พูลแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดแบบพลิกความคาดหมาย และเพิ่งคว้ารางวัลรองเท้าทองคำสมัยที่ 6 เช่นกัน แต่สำหรับรางวัลบัลลงดอร์หรือลูกบอลทองคำนั้น เมสซี่ยังคงตกไปลองคู่แข่งหน้าเดิมอย่างฟานไดค์อยู่หลายช่วงตัว แต่ไม่ว่าเมสซี่หรือฟาน ไดค์ใครจะได้รับรางวัลนี้ไปครอบครอง ก็นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟานไดค์ที่สามารถเอาชนะเมสซี่ในการพบกันโดยตรงระหว่างบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูล

post

รู้จัก 4 ทีมสุดท้ายในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลก

รักบี้ชิงแชมป์โลกครั้งที่ 9 ซึ่งจัดครั้งแรก ณ เมืองโยโกฮาม่าในประเทศญี่ปุ่น ได้มาถึงรอบรองชนะเลิศหรือ 4 ทีมสุดท้ายแล้ว โดยเป็นการพบกันระหว่าง “กุหลาบแดง” ทีมชาติอังกฤษพบเต็งหนึ่งของการแข่งขัน “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์  และ “เจ้าชาย” ทีมชาติเวลส์ม้ามืดของรายการจะพบกับ “สปริงบ็อก” ทีมชาติแอฟริกาใต้ โดยผู้แพ้จะได้ลงเล่นในสนามในเมืองโชฟู วันที่ 1 พฤศจิกายนเพื่อชิงอันดับที่ 3 และผู้ชนะจะเข้าไปชิงชนะเลิศจะแข่งกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน ณ สนามในกรุงโยโกฮาม่า

กุหลาบแดงพบออลแบล็ค

ควรจะเป็นคู่ชิงชนะเลิศที่แท้จริงเสียมากกว่าเพราะ “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์เป็นทั้งแชมป์เก่าและเต็ง 1 ของรายการและยังเป็นทีมอันดับ 1 ในการสะสมคะแนน world rugby ranking อีกด้วย ส่วน “กุหลาบแดง” ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลก 1 สมัยและรองแชมป์โลก 2 ครั้ง คือทีมอันดับ 2 ในworld rugby ranking เช่นกัน โดย “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์อดีตแชมป์โลกถึง 3 สมัยรวมถึงเป็นแชมป์โลก 2 สมัยล่าสุดในปี 2011, 2015 พวกเขาคือชาติที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในกีฬารักบี้ โดยในรอบก่อนรองชนะเลิศนั้น ทั้งสองชาติต่างเอาชนะคู่แข่งมาได้แบบถล่มทลาย โดยนิวซีแลนด์ถล่มเอาชนะไอร์แลนด์ไปถึง 46 ต่อ 14 จุด ส่วนอังกฤษก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาถล่มอดีตแชมป์โลกอย่างออสเตรเลียเละเทะถึง 40 ต่อ 16 จุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา

เวลส์พบกับแอฟริกาใต้

สำหรับ “เจ้าชาย” ทีมชาติเวลส์แล้ว พวกเขาดูจะมีประสบการณ์น้อยที่สุดใน 4 ทีม เพราะเป็นชาติเดียวที่ยังไม่เคยเข้าชิงชนะเลิศเลย เวลส์ทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับ 4 ในปี 2011 โดยแพ้แก่ออสเตรเลียรายการชิงอันดับที่ 3 เท่านั้น และในครั้งนี้พวกเขาก็เป็นม้ามืดอีกเช่นกัน โดยทีมชาติเวลส์สามารถพลิกล็อกเอาชนะ “เลส์ เบลอส์” ทีมชาติฝรั่งเศสอดีตรองแชมป์โลก 2 สมัยไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย 20 ต่อ 19 จุด ทั้ง ๆ ที่มีคะแนนตามหลังฝรั่งเศสตลอดการแข่งขัน ในรอบรองชนะเลิศนี้พวกเขาต้องพบกับ “สปริงบ็อก” ทีมชาติแอฟริกาใต้ อดีตแชมป์โลก 2 สมัย ซึ่งเป็นชาติเดียวที่ไม่เคยแพ้ในรอบชิงชนะเลิศเลย สำหรับแอฟริกาใต้นั้นพวกเขามีทีมรับที่ยอดเยี่ยม ในรอบก่อนรองชนะเลิศพวกเขาผ่าน “ซากุระ” ทีมชาติญี่ปุ่นเจ้าภาพที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกินคาดในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์จะถึงพวกเขาจะมีประสบการณ์มากกว่าทีมชาติเวลส์ แต่อันดับ world rugby ranking พวกเขากลับเป็นรอง ซึ่งทั้งเวลส์และแอฟริกาใต้เป็นทีมอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ นี่จึงเป็นการพบกันที่ถูกคู่ทีเดียว

รอบชิงแชมป์ที่โยโกฮาม่า

ไม่ว่าจะเป็นชาติใดที่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศที่สนามในเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่นก็นับได้ว่าเป็นการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกที่สมศักดิ์ศรีอย่างมากทีเดียวเนื่องจากทั้ง 4 ทีมสุดท้ายต่างเป็นทีมอันดับ 1 ถึง 4 ใน world rugby ranking โดย “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์ ยังเป็นเต็งหนึ่งของรายการ “กุหลาบแดง” อังกฤษที่ชาติที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในรอบก่อนรองชนะเลิศ “สปริงบ็อก” แอฟริกาใต้ที่ยังไม่เคยแพ้ใครในนัดชิงชนะเลิศ หรือเราอาจจะได้เห็นแชมป์โลกใหม่พูดไม่เคยเข้าชิงมาก่อนอย่างทีม “เจ้าชาย” เวลส์

post

มาร์ค บาตร้ากองหลังรูปงามหัวใจบาร์ซ่า

มาร์ค บาตร้า เกิดเมื่อ 15 มกราคม 1991 เขาคือกองหลังชาวคาตาลันโดยกำเนิด เขามีส่วนสูง 1.83 ซม. ซึ่งไม่ได้จัดว่าสูงสำหรับกองหลัง แต่ก็เพียงพอที่จะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอสมควร เพราะจุดเด่นของบาตร้าคือการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี อันเป็นมรดกที่นักเตะเยาวชนจากบาร์ซ่ามักจะทำได้ดีกันทุก ๆ คน บาตร้าเล่นให้บาร์เซโลน่าทั้งสิ้น 59 นัดก่อนย้ายไปเล่นกับสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลีกาเยอรมัน และกลับมาเล่นลาลีกาอีกครั้งกับสโมสรเรอัล เบติสในฤดูกาลนี้มาร์ค บาตร้าติดทีมชาติสเปน 14 ครั้งและยังเคยลงเล่นให้ทีมชาติคาตาโลเนีย อีก 6 ครั้ง

เริ่มต้นความฝันกับบาร์เซโลน่า

มาร์คบาตร้าเหมือนนักฟุตบอลอีกหลาย ๆ คนที่มีความฝันจะได้เล่นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าและประสบความสำเร็จกับทีมเหมือนที่คาร์เลส ปูโยลหรือเคราร์ด ปีเก้เป็น บาตร้าเริ่มสร้างชื่อเสียงและพัฒนาฝีเท้าจนได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ในทีมที่เป็นทั้งกัปตันทีมและกลายเป็นตำนานของทีมไปแล้ว อย่างคาร์เลส ปูโยลเริ่มมีอาการบาดเจ็บและโรยราลงไป ซึ่งแม้ว่าบาตร้าเองจะได้รับการผลักดันจากโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า และหลุยส์ เอ็นริเก้พอสมควรในตอนนั้นและลงเล่นให้บาร์เซโลน่าไปถึง 59 นัด แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บและการขาดการต่อเนื่องจากการลงสนามรวมถึงการย้ายมาของซามูเอลอุมติตี้กองหลังดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสในตอนนั้นจากสโมสรโอลิมปิก ลียงในฝรั่งเศส โอกาสของเขาก็ดูจะน้อยลงเรื่อย ๆ และต้องย้ายทีมในที่สุด

ช่วงเวลาที่ดีและร้ายในบุนเดสลีกา

แม้ว่าเส้นทางฝันของบาตร้ากับบาร์ซ่าจะเดินไปได้ร่วมกันไม่สุดทางแต่การย้ายมาร่วมทัพทีมใหญ่อย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังเป็นอะไรที่ท้าทาย และพิสูจน์ฝีเท้าของบาตร้าอย่างแท้จริง บาตร้าได้กลายเป็นนักเตะหลักในแนวรับของดอร์ทมุนด์ในทันที และลงเล่นไปถึง 31 นัดในเกมบุนเดสลีกา แต่บาตร้ากลับต้องมาได้รับบาดเจ็บจากการถูกวางระเบิดรถบัสของสโมสรถึง 4 สัปดาห์ แถมยังมีปัญหากับแฟนบอลดอร์ทมุนด์บางกลุ่มที่ไม่พอใจการที่บาตร้าโพสต์เชียร์บาร์เซโลน่าการทำศึกเอล กลาสซิโก้กับเรอัล มาดริด รวมถึงยังโพสต์ยกย่องลิโอแนล เมสซี่ทางทวิตเตอร์ ทำให้มีกลุ่มแฟนบอลจำนวนนึงสาปส่งกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่เขาต้องย้ายกลับสเปนในปีต่อมานั่นเอง

กลับสู่ลาลีกาสเปนกับทีมยักษ์เขียว

 การย้ายกลับสู่ลาลีกาเสปนกับทีมยักษ์เขียว “เรอัล เบติส” อาจจะทำให้บาตร้ากลับมามีความสุขและเล่นในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง หลังจากต้องพบกับปัญหาในบุนเดสลีกากับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์แบบไม่คาดคิดในบางเรื่อง การเล่นภายในทีมของกุนซือ “รูบี้” ผู้มีประสบการณ์การคุมเอสปัญญ่อลอีกหนึ่งสโมสรใหญ่ในแคว้นคาตาลันมาแล้ว อาจจะทำให้บาตร้ากลับสู่การเล่นที่เป็นตนเองอีกครั้งในวัย 28 ปี ซึ่งในวันที่บาร์เซโลน่ายังมีปัญหากองหลังตัวกลางเมื่ออุมติตี้ เจ็บเขาเรื้อรัง, ปีเก้เริ่มโรยรา บางทีอาจจะถึงเวลาของมาร์ค บาตร้ากองหลังหนุ่มรูปงามคนนี้กลับไปโลดแล่นในเสื้อสีเลือดหมู น้ำเงินอีกครั้ง

post

กูตีตำนานแห่งราชันย์ ผู้พร้อมรับไม้ผลัดจากซีดาน?

กูตีมีชื่อเต็มว่า “โฆเซ่ มาเรีย กูเตียเรซ” เขาเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1976 ในวัยเด็กนั้นเขามีพรสวรรค์ในกีฬาเทนนิสเป็นอย่างมากแต่กลับเลือกเล่นฟุตบอลแทน โดยมีสโมสรอันเป็นที่รักสโมสรเดียวในดวงใจนั่นคือ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริดนั้นเอง ซึ่งกูตีเล่นให้สโมสรชุดขาวของลาลีกาสเปนเกือบตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขา ก่อนจะย้ายไปเบซิคตัสในช่วงก่อนแขวนสตั๊ด

กูตีผู้เคยเกือบถูกลืม

กูตีคือมาดริสต้าอย่างแท้จริงเขาเริ่มเล่นให้เรอัล มาดริดตั้งแต่ปี 1994 ในชุดซีและเริ่มไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เล่นชุดใหญ่ในปีถัดมา กว่า 6 ปีที่กูตีได้มีโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริดประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ไม่แพ้ผลงานในสนามเลย เรอัล มาดริดเต็มไปด้วยผู้เล่นมีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฌฟอนันโด เรดอนโด้, โรแบร์โต้ คาลอส, ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งแม้ว่าชื่อของกูตีอาจจะไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับแฟนบอลเรอัล มาดริดแล้วเขาคือหนึ่งในคนสำคัญ กูตีเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลาย เขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในกองกลาง หรือแม้แต่กองหน้าก็สามารถเล่นได้

จากยอดนักเตะสู้ยอดโค้ช

กูตีคุมทีมเรอัล มาดริดชุดเยาวชนมากกว่า 7 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์มากมาย โดยเฉพาะการสร้างประวัติศาสตร์สโมสรด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปี 2017 ในครั้งแรกที่ซีเนดีนซีดานบอกลาทีมไปทีมได้แต่งตั้งฆูเล็น โลเปเตกลีอดีตกุนซือทีมชาติสเปน เข้ามาคุมทีมแทนแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งเรอัล มาดริดได้ตั้งซานติอาโก้ โซลารี่หัวหน้าผู้ฝึกสอนจากเรอัล มาดริดคาสติญย่ามาคุมทีมช่วงสั้น ๆ แต่ก็ไปได้ไม่รอดเช่นกัน ชื่อของกูตีจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งกุนซือเรอัล มาดริดในทันที ก่อนที่ซีเนอดีน ซีดานจะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ปัจจุบันกุตีได้ไปเป็นผู้ช่วยของอับดุลลา อวิชี่ ผู้จัดการทีมสโมสรเบซิคตัสในตุรกี เพื่อหาประสบการณ์

ราชันย์ที่แสนยุ่งเหยิง

ปัจจุบันเรอัล มาดริดของซีเนดีน ซีดานยังอยู่ในฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูเง่ายแนวรุกของทีมก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ในลาลีกาพวกเขายิงไปเพียง 16 ประตูเท่านั้นทั้ง ๆ ที่มีแนวรุกระดับโลกอยู่มากมาย ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกที่พวกเขาเป็นเต้ยของถ้วยนี้ ก็เพิ่งถูกปารีสแซงต์ แชร์แมงยำใหญ่มาถึง 3-0 แต่เทพีแห่งโชคยังอยู่กับทีมชุดขาวเมื่อคู่ปรับโดยตรงอย่างบาร์เซโลนาและแอตเลติโก มาดริดฟอร์มออกทะเลพร้อมกับพวกเขา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนทีมใหญ่จากแคว้นคาตาลันอย่างบาร์เซโลน่าเริ่มกลับมาเก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายนัดส่วนทีมตราหมีเพื่อนร่วมเมืองก็เริ่มกลับมาแล้ว เก้าอี้ของซีดานกำลังร้อนฉ่าเลยทีเดียว นี่อาจจะเป็นโอกาสอีกครั้งที่กูตีจะได้กลับเรอัล มาดริดที่เขารักเพียงแต่ไม่ใช่ในฐานะนักเตะเท่านั้นเอง

post

นาดาลสุดร้อนแรงคว้าแกรนด์สแลมครั้งที่ 19

ราฟาเอล นาดาล ยอดนักเทนนิสชาวสเปน อดีตมือ 1 ของโลก (ปัจจุบันเป็นมือวางอันดับ 2 ของโลกรองจากโนวัค ยอโควิช) กำลังท้าทายความเป็นราชันนักเทนนิสของโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ผู้คว้าแกรนด์สแลมสูงสุดในวงการเทนนิสมาถึง 20 รายการ หลังจากนาดาลคว้าแชมป์เทนนิสเฟรนช์โอเพ่นสมัยที่ 12 และ ยูเอส โอเพ่นได้ในปีล่าสุด ทำให้นาดาลคว้าแกรนด์แสลมได้เป็นครั้งที่ 19 แล้ว โดยก่อนหน้านี้นาดาวประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องพักรักษาตัวไปอย่างยาวนาน จนหลายสื่อไม่คาดคิดว่าเขาจะกลับมาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดที่อีก

ราชาคอร์ดดิน

ราฟาเอล นาดาล เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1986 เขาคือหลานชายแท้ ๆ ของมิเกล แองเจล นาดาลกองหลังชื่อดังทีมชาติสเปนของสโมสรบาร์เซโลน่า แต่ราฟาเอล นาดาลกลับสนใจในกีฬาเทนนิสซึ่งเป็น 1 ในกีฬายอดนิยมในสเปนมากกว่านาดาลสามารถใช้มือได้ดีทั้ง 2 ข้างเขาใช้มือซ้ายเขียนหนังสือแต่ใช้มือขวาจับแร็กเกตเทนนิส นาดาลมีประสบการณ์ในช่วงเยาวชนน้อยมาก หากเทียบกับนักเทนนิสรุ่นพี่แล้วถือว่าเขาเริ่มต้นได้ช้ากว่ามาก แมทช์การแข่งขันที่ทำให้ราฟาเอล นาดาลเป็นที่รู้จักคือ การเอาชนะแอนดี้ ร็อดดิคนักเทนนิสมือ 1 ของโลกชาวอเมริกันในขณะนั้นในศึกเดวิสคัพทำให้ทีมชาติสเปนสามารถเอาชนะและคว้าแชมป์โลกจะไปได้สำเร็จ หลังจากนั้นนาดาลก็เริ่มสร้างความสำเร็จส่วนตัวด้วยมาแต่การที่ต้องมีคู่แข่งขันอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์นักเทนนิสรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของวงการเทนนิส กับโนวัค ยอโควิช ที่ผงาดขึ้นเป็นมามือวางอันดับ 1 ของโลกแทนตัวเขาในช่วงเวลาที่นาดาลประสบอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนถึงปัจจุบัน

การต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

ในอดีตวงการเทนนิสมักจะมียุคของใครสักคนหนึ่ง เช่นบียอร์น บอร์ก, จอห์น แม็คแอนโรหรือพีท แซมพาท แต่ในยุคของนาดาลนั้นกลับมีคู่แข่งที่ทัดเทียมกันถึง 3 คนในเวลาไล่เรี่ยกันคือตัวเขา, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นคิงออฟเทนนิสและโนวัค ยอโควิชนักเทนนิสมือวางอันดับ 1 ในปัจจุบัน ความสำเร็จของนาดาลนั้น จึงไม่เพียงต้องเอาชนะในเกมการแข่งขันเท่านั้น เขายังต้องฝึกซ้อมอย่างหนักและต่อสู้กับอาการบาดเจ็บของตนเอง โดยเฉพาะในช่วงปี 2011 นาดาลได้เข้าชิงแกรนด์สแลมติดกันถึง 3 รายการคือวิมเบิลดัน, ยูเอสโอเพ่น และออสเตรเลียโอเพ่นก่อนที่ทุกรายการจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อนักเทนนิสคนเดียวกันคือโนวัค ยอโควิช ก่อนที่จะแพ้ให้กับยอดนักเทนนิสชาวเซอร์เบียคนเดิมอีกครั้งในออสเตรเลียนโอเพ่นในปี 2019 ปีล่าสุดนี้และไม่เคยแพ้อีกเลยในรอบชิง

นาดาลยังต้องการอีก 2 แกรนด์สแลม

ราฟาเอลนาดาลได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้มองถึงโอกาสการคว้าแกรนด์สแลมแซงโรเจอร์เฟเดอเรอร์ขึ้นเป็นอันดับ 1 แห่งวงการเทนนิสมากนัก และรวมถึงการทำอันดับกลับไปเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้งแทนโนวัค ยอโควิช เขาเพียงรู้สึกดีที่กลับมาคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นและเฟรนช์โอเพ่นได้อีกครั้งหลังจากต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บเรื่อยมา แต่เป้าหมายที่รอราฟาเอลนาดาลอยู่นั้นช่างท้าทายเหลือเกิน และหากไม่ใช่เขาบางทีอาจจะไม่มีใครที่ทำลายสถิตินี้ได้อีกแล้ว แม้ว่าโนวัค ยอโควิชไม่วางอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบันจะสามารถคว้าไปได้แล้ว 16 แกรนด์สแลมแต่นั้นอาจจะดูยากเกินไปกับอีก 5 แกรนด์สแลมที่เขาต้องการด้วยอายุที่น้อยกว่านาดาลเพียง 1 ปี โอกาสของราชากระทิงในวงการเทนนิสกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

post

มาราโดน่าผู้เป็นเสมือนพระเจ้าของชาวอาร์เจนตินา

D10s หนึ่งในฉายาของดีเอโก้มาราโดน่า เป็นการตกแต่งตัวอักษร จากคำว่า Dios ที่แปลว่าพระเจ้าในภาษาละตินนั่นเอง ชื่อเต็มของเขาคือดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 มาราโดน่าเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ เขาคือนักฟุตบอลคนที่ 2 ของโลกต่อจากเปเล่ที่ได้รับการสรรเสริญว่ามีฝีเท้าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ก่อนที่ในสองทศวรรษที่ผ่านมาจะมีชื่อของลิโอเนล เมสซี่และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขึ้นมาเทียบเคียง

แอนตี้ฮีโร่ตัวจริง

มาราโดนาเกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 4 โดยมีพี่สาว 3 คนและน้องชายอีก 2 คน เขาสูงเพียง 1.65 ม. เท่านั้น แม้แต่ในช่วงที่เจ้าตัวฟอร์มดีมาก ๆ เขาก็มีน้ำหนักถึง 76 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น้ำหนักน้อยกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้เพียง 12 กิโลกรัม แต่เตี้ยกว่าโรนัลโด้ ถึง 22 ซม.) ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหนเขาก็ไม่น่าจะเป็นนักกีฬาหรือนักฟุตบอลที่เก่งได้เลยหากพิจารณาจากสรีระของเขา เขามีฉายาในตอนเด็กคือ “เปรูโซ่” (ไอ้หัวฟู) อันมาจากทรงผมของเขา แต่โค้ชมักจะเรียกเขาว่า “ไอ้อ้วน” โดยในครั้งหนึ่งของการแข่งขันระดับเยาวชน มาราโดน่าที่เป็นเพียงตัวสำรองและดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากโค้ชเลย ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังตามหลังอยู่ 3-1 ทีมกำลังจะแพ้ โค้ชของเขาได้ตะโกนเรียกให้มาราโดน่าวอร์มก่อนส่งลงไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันทีด้วยอาการฉุนเฉียว ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นเขาต้องตกตะลึงเมื่อทีมของเขาพลิกกลับมาชนะได้ 5-3 โดยที่ “ไอ้เด็กอ้วน” ที่เขาเคยดูแคลนคนนี้ยิงแฮตทริกได้ในเกมนั้น

ชีวิตที่ติดลบกับการเป็นตัวตนของตัวเอง

ตลอดชีวิตของการค้าแข้งมาราโดน่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องของโคเคนซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกถึงการปฏิเสธ ทำให้เขามาจะโดนลงโทษจากทางสโมสรและทางกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาการติดโคเคนของเขาส่วนหนึ่งมาจากการรักษาอาการบาดเจ็บเนื่องจากในฟุตบอลยุคก่อนนักฟุตบอลในเกมรุกเช่นเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรรมการมากเท่าเทียมกับปัจจุบันทำให้เขาต้องเผชิญกับการเข้าบอลหนักจนเป็นที่มาของอาการบาดเจ็บเสมอ แต่การได้รับคำดูถูกจากแฟนบอลคู่แข่งไม่เคยสร้างความอ่อนไหวให้กับเขาเลย เพราะ 2 สิ่งในฟุตบอลที่เขาแคร์ที่สุดคือทีมชาติอาร์เจนตินาและโบคา จูเนียร์สโมสรที่เขารักหมดใจตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาเป็นนักต่อสู้และไม่เคยลืมว่าเขามาจากที่ใด มาราโดน่าผู้ไม่เคยเสแสร้ง เขาแสดงออกอย่างลิงโลดทุกครั้งที่ทีมได้ชัยชนะที่สำคัญ และเดินร้องไห้อย่างไม่อายใครเมื่อทีมที่เขารักต้องพ่ายแพ้ นี่คือมาราโดน่าผู้ซึ่งเป็นขวัญใจของชนชั้นแรงงานผู้ยากจนของชาวอาร์เจนตินา

เมสซี่และมาราโดน่า

ผู้คนมักจะเปรียบเทียบ 2 อัจฉริยะต่างยุคกันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าสองคนนี้จะมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน สวมหมายเลข 10 เหมือนกัน, เล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาและสโมสรบาร์เซโลน่าเหมือนกัน หรือแม้แต่เคยเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามจากกลางสนามเข้ามายิงประตูได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้ว 2 คนนี้มีอีกหลายอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมสซี่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ส่วนมาราโดนาเป็นกองกลางเสียมากกว่า หรือจะเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ เมสซี่ดูจะเป็นกัปตันทีมที่สุขุม พูดน้อย จนหลายครั้งสื่อโจมตีเขาว่า เมสซี่มักจะถอดใจก่อนลูกทีมเสียอีก ในขณะที่มาราโดน่าเขาคือผู้นำอย่างแท้จริงทุกคนในทีมต่างพยายามหนักทำงานเพื่อเขาแย่งบอลมาแล้วส่งให้เขา แต่ไม่ว่าจะมีการเปรียบเทียบกันอย่างไร แฟนบอลคือผู้ที่ได้กำไรจากการได้ชมฝีเท้าอันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองคน

post

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของโบคา จูเนียร์

โบคา จูเนียร์ส คือหนึ่งสโมสรใหญ่ในอาร์เจนตินา ก่อตั้งเมื่อ 3 เมษายน 1905 ในกรุงบัวโนสไอเรสร่วมกับริเวอร์เพลท พวกเขา เป็นเจ้าของสนามลา บอมโบเนร่ที่เก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังซึ่งมีความจุสนามกว่า 49,000 คน โบคา จูเนียร์คือทีมขวัญใจชนชั้นแรงงานชาวอาร์เจนตินาและเป็นสโมสรในดวงใจของดีเอโก้ มาราโดน่านักฟุตบอลที่ชาวอาร์เจนตินายกย่องให้เป็นพระเจ้าของพวกเขา

โบคา จูเนียร์กับฟุตบอลลีกอาเจนติน่า

สโมสรชั้นนำในอเมริกาใต้ต่างจากสโมสรระดับ ท็อปของยุโรปโดยสิ้นเชิง ขณะที่สโมสรดังอยากบาร์เซโลน่าหรือเรอัล มาดริดต่างควานหาเพชรเม็ดงามจากสโมสรอเมริกาใต้เหล่านี้ โบคา จูเนียร์หรือสโมสรชั้นนำอื่น ๆ กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะพวกเขาอยากจะขายนักเตะมีชื่อของตนเองเพื่อให้ได้ราคามากที่สุด ทั้งนี้เพื่อโอกาสของตัวนักเตะเองที่จะได้มีสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองเหมือนรุ่นพี่ทีมชาติอาร์เจนตินอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ต่างเป็นแบบอย่าง เป็นความฝันของเด็ก ๆ ชาวอาร์เจนตินา ประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็ก ๆ หลายคนเกิดในครอบครัวที่ยากจน ฟุตบอลจึงแทบจะเป็นทุกอย่างของเด็ก ๆ เหล่านี้และเป็นโอกาสของครอบครัวของพวกเขา ทำให้ในบางฤดูกาลที่สโมสรที่เป็นแชมป์ของประเทศแต่ในฤดูกาลถัดมาพวกเขากลับต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตกชั้นทั้งนี้เพราะนักเตะในทีมคนสำคัญบางคนย้ายออกไปเล่นบอลสโมสรในยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่

โบคาและริเวอร์เพลท

ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง โดยเฉพาะริเวอร์เพลท คู่ปรับร่วมเมืองภายใต้การนำของมาร์เซโล่ กายาร์โด้พวกเขาคว้าแชมป์โคปาลิเบอร์ตาโดเรสได้เป็นว่าเล่น ส่วนโบคาจู เนียร์เองก็คว้าคว้าแชมป์ลีกอาเจนติน่าเป็นครั้งที่ 33 สำเร็จ แต่ก็ยังตามหลังริเวอร์เพลทซึ่งเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดที่ 36 สมัย และถึงแม้ว่าทีมเหลือง-ทองแห่งเมืองหลวงจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนแฟนบอลและบริหารจะไม่พอใจนักกับการที่ต้องพลาดแชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรสคัพด้วยน้ำมือของริเวอร์เพลท หรือความกดดันที่เกินแบกรับไหว ทำให้กุนซืออดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลอย่างกิแยร์โม เชล็อตโต้ต้องอำลาจากทีมไปในที่สุด

โบคาในยุคของกุนซืออัลฟาโร่

กุสตาโว อัลฟาโร่ คือกุนซือชาวอาร์เจนตินาวัย 57 ปีซึ่งมีประสบการณ์การคุมทีมยาวนานเกือบ 30 ปีในลีกอาร์เจนติน่า แต่กับการคุมบังเหียนสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างโบคาที่มีนักเตะชื่อดังตัวเก๋าในทีมอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เมาโร ซาราเต้ คงเป็นงานที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา ในเวลานี้โบคา จูเนียร์นำเป็นจ่าฝูงร่วมกับริเวอร์เพลทและอาร์เจนติโนส จูเนียร์สโดยทีมหลังเล่นน้อยกว่า 1 นัด ส่วนริเวอร์เพลทยังมีเกมนัดชิงชนะเลิศโคปาลิเบอร์ตาดอเรสครับรออยู่ การลุ้นแชมป์ลีกอาร์เจนติน่าสมัยที่ 34 จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโบคาของอัลฟาโร่ แต่คงเป็นงานที่ไม่ง่ายแต่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

post

เลบรอน เจมส์กับฉายาคิง ออฟ เอ็นบีเอที่คู่ควร?

เลบรอนส์ เจมส์ คือยอดนักบาสเกตบอลอาชีพของ NBA ซึ่งปัจจุบันสังกัดทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1984 สามารถเล่นในตำแหน่ง small forward หรือ power forward ได้ดีทั้ง 2 ในตำแหน่ง เลบรอน เจมส์ถูกดราฟฟ์มาเป็นคนแรกในปี 2003 โดยคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สและฉายแววความเป็นยอดนักบาสทันทีมือคว้าตำแหน่ง rookie of the year (ผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) ในปีแรกของเขาได้ในทันที

สถิติส่วนตัวกับการย้ายทีม

เลบรอน เจมส์สร้างสถิติเอาไว้ในปีแรกกับคาวาเลียร์ทันที เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ทำทริปเปิ้ล ดับเบิ้ลซึ่งคือการทำแต้ม, รีบาวน์และแอสซิสต์ ได้ 10 ครั้งในแมทช์เดียวกัน, และยังเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำแต้มได้ถึง 50 ได้อีกด้วย แต่องค์ประกอบของทีมคาวาเลียร์สที่ดูแล้วอาจจะยากเกินไปกับความสำเร็จ รวมถึงการที่เจมส์มีเพื่อนสนิทเป็นยอดนักบาสหลาย ๆ คนทำให้เขาเลือกย้ายสังกัดมาร่วมทีมที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือไมอามี่ ฮีท ซึ่งฮีท ในยุคนั้นแทบจะเป็นดรีมทีมย่อม ๆ ในทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลา 2010-2014 เจมส์และเพื่อนรวมทีมใหม่ของเขาก็ไม่ทำให้แฟนบาสเกตบอลชาวไมอามี่ต้องผิดหวัง เมื่อสามารถพาทีมเข้าชิง NBA ได้ถึง 4 ปีติดและคว้าแชมป์มาได้ 2 ครั้งก่อนที่เขาจะย้ายกลับสู่คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สทีมแรกของเขาใน NBA อีกครั้ง

แชมป์NBAครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคาวาเลียร์

4 ปีที่แล้วเลบรอน เจมส์เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมไมอามี่ ฮีทเข้าชิง NBA ทำให้เจมส์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักบาสเกตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่การที่เจมส์พาทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สเข้าชิง NBA อย่างต่อเนื่องอีก 4 ปีติดต่อกัน ช่างเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ และแม้ว่าสุดท้ายแล้วคาวาเลียร์ของเลบรอน เจมส์จะเอาชนะโกลเด้นสเตทวอร์ริเออร์สคู่ชิงของพวกเขาทั้ง 4 ปีได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่นั่นก็คือแชมป์เอ็นบีเอครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคลีฟแลนด์ และเลบรอน เจมส์ได้ย้ายสังกัดอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์บาสเกตบอล NBA กับทีมยักษ์แห่งวงการบาสเกตบอลอย่างลอสแองเจลิส เลเกอร์ส โดยสัญญา 5 ปีของเขารับทรัพย์ไปถึง 88 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 5,500 บาทไทยเลยทีเดียว ซึ่งเหตุผลหนึ่งนอกจากเรื่องเงินแล้วอาจจะเป็นเหตุผลเดิมที่เขาตัดสินใจย้ายจากคาวาเลียร์สไปฮีท นั่นคือองค์ประกอบทีมที่อาจจะยากแต่ความสำเร็จเสียแล้วเพราะการเข้าชิง NBA ใน 2 ฤดูกาลหลังพวกเขาเอาชนะวอริเออร์ได้เพียง 1 ใน 9 เกมเท่านั้น

โคบี้ ไบรอันและไมเคิล จอร์แดน

การถูกนำไปเปรียบเทียบกับยอดนักบาสเกตบอลโคบี้ไบรอันและราชาวงการฟุตบอลอย่างไมเคิล จอร์แดน กลายเป็นเรื่องไม่เกินจริงเสียแล้ว แม้จะมีค่อนแคะ เหน็บแนมจากแฟนบอลส่วนหนึ่งว่าความสำเร็จของเลบรอน เจมส์มาจากการองค์ประกอบของทีมที่เขาอยู่เสียมากกว่า ซึ่งต่างจากในยุคของไมเคิล จอร์แดนซึ่งจอร์แดนใช้เวลายาวนานอย่างมากกว่าจะพาชิคาโก้ บูลส์ทีมขวัญใจอดีตประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบามาซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย คว้าแชมป์ NBA ได้ถึง 6 ครั้งและเป็นชัยชนะทั้งหมดในทุกครั้งที่ได้เข้าชิงการเปรียบเทียบผลงานนักกีฬาในยุคเก่าไหมอาจจะเป็นการเปรียบเทียบที่ยากบางทีนี่อาจจะเป็นเหมือนการเปรียบเทียบระหว่างดีเอโก้ มาราโดน่ากับลิโอเนลเมสซี่ในวงการฟุตบอลหรือจอห์น แม็คแอนโรกับโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ไม่สามารถสรุปผลได้เช่นกันเลบรอน เจมส์และไมเคิล จอร์แดน ว่าใครจะเป็นเบอร์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการบาสเกตบอล

post

ได้เวลาจัดด์ ทรัมป์ โชว์ฝีมือให้โลกรู้

จัดด์ ทรัมป์ เขาคือนักสนุกเกอร์ชาวอังกฤษ แชมป์โลกคนคนล่าสุดวัย 30 ปี เกิดเมื่อ 20 สิงหาคม 1989 ทรัมป์มีหลายฉายาในวงการเช่น มร.แฮร์คัท, เดอะ เอช (the ace) แต่ฉายาที่คนไทยตั้งและน่าจะเหมาะกับเจ้าตัวเป็นอย่างมากคือ “เพชฌฆาตปืนกล” อันเนื่องมาจากสไตล์การแทงสนุกเกอร์ที่รวดเร็ว รุนแรงแม่นยำ ที่หาดูได้ยากในยุคปัจจุบันนั้น

หนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการ

อาลี ฮันเตอร์, แมทธิว สตีเว่น, แบรี่ ฮอร์กิ้น หรือแม้แต่ดิง จินฮุย ชื่อเหล่านี้คืออดีตดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการสนุกเกอร์ ผู้เคยได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นยอดนักสนุกเกอร์แถวหน้าของโลกเหมือนที่สตีฟ เดวิส, สตีเฟ่น เฮนดรี้และรอนนี่ โอซุลลิแวนได้สร้างผลงานเอาไว้ แต่สุดท้ายมีอีกหลายชื่อที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน และมีอีกหลายชื่อที่โอกาสของเขาเหลืออีกไม่มากกับตำแหน่งแชมป์โลกที่นักสนุกเกอร์ทุกคนใฝ่ฝัน จัดด์ ทรัมป์เองก็เป็นเช่นนั้น เขาเหมือนมาร์ค เซลบี้แชมป์โลกสนุกเกอร์สามสมัย ที่เคยได้ชิงแชมป์โลกตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อนัดชิงให้กับรอนนี่ โอซุลลิแวน ส่วนจัดด์ ทรัมป์ เขาแพ้ให้กับจอห์น ฮิกกิ้น ผู้เป็นหนึ่งในนักสนุกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งในวงการ และเป็นแชมป์โลก 4 สมัยที่สำคัญเขาคือคู่ชิงในปี 2018 ที่จัดด์ ทรัมป์สามารถแก้มือเอาชนะและคว้าแชมป์โลกได้เป็นครั้งแรกในที่สุด

หนึ่งในนักสนุกเกอร์ขวัญใจ

เมื่อรอนนี่ โอซุลลิแวนนักสนุกเกอร์ที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์สูงกว่านักสนุกเกอร์คนใดในประวัติศาสตร์และเป็นผู้ที่มีแฟนสนุกเกอร์ติดตามมากที่สุดตลอดหลายสิบปีอยู่ในช่วงใกล้ปลดระวางเต็มที โอกาสจึงเปิดกว้างให้แก่นักสนุกเกอร์คนอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสจ๊วต บิงแฮมแชมป์โลกเมื่อ 3 ปีก่อนซึ่งได้เข้าชิงแชมป์โลกครั้งแรกเมื่ออายุขึ้นต้นด้วยเลขสี่แล้วหรือมาร์ค วิลเลี่ยมอดีตแชมป์โลกที่กลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งเมื่อปีก่อน และมาร์ค เซลบี้ สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 2 ครั้งและเป็นครั้งที่สามของเขา จะเห็นได้ว่าไม่มีนักสนุกเกอร์คนใดเล่นในสไตล์เดินหน้าฆ่ามันหรือกล้าได้กล้าเสียเหมือนกับ “เดอะ ร็อคเก็ต” รอนนี่ โอซุลลิแวนหรือจัด ทรัมป์เลยแม้แต่คนเดียว

การรักษาฟอร์มการเล่นที่แสนยากเย็น

10 ปีหลังสุด มีเพียงมาร์ค เซลบี้สามารถเข้าชิงแชมป์โลกในครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ได้ 3 ครั้งและคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด  และจอห์น ฮิกกิ้นที่เข้าชิงได้ถึง 4 ครั้ง และได้แชมป์ไปเพียงครั้งเดียว (เป็นสมัยที่ 4 ตลอดอาชีพของเขา) แต่ต้องแพ้ในนัดชิงทั้ง 3 ฤดูกาลหลังสุดอย่างโชคร้าย ก็ไม่มีนักสนุกเกอร์คนใดที่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นหรือยืนระยะได้เลย จัดด์ ทรัมป์เอ็งก็ต้องใช้เวลาถึง 8 ปีกว่าจะได้เข้าชิงแชมป์โลกอีกครั้งและทำสำเร็จในที่สุด ซึ่งด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นนักสู้ของเขาการจะรักษาความแม่นยำได้ในระยะยาวเป็นเรื่องยาก แต่เกือบ 1 ปีที่เขาครองแชมป์โลกมาจัดด์ ทรัมป์ยังคงรักษาตำแหน่งมือ 1 ของโลกพร้อมกับฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นเหนือกว่านักสนุกเกอร์คนใด ซึ่งหากเขายังคงรักษามาตรฐานของตนเองเอาไว้ได้ในเวลาอีกไม่กี่เดือนก่อนการแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาจะเป็นเต็งหนึ่งในการคว้าแชมป์มาครองอย่างแน่นอน และเชื่อว่าแฟนสนุกเกอร์ส่วนใหญ่จะเอาใจช่วยเขาอย่างแน่นอน