post

แดงเดือนผีหงส์ยังเดือดเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือดราม่า var

เชื่อว่าไม่มีคอบอลคนใดที่ไม่รู้จักศึกแดงเดือด เพราะนั่นคือการโคจรมาพบกันของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2 สโมสรยอดนิยมที่แฟนบอลชาวไทยติดตามมากที่สุด ลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ด คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเกาะอังกฤษ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปมากกว่าคือ 6 สมัย (แมนยูไนเต็ดได้ 3 สมัย) แต่แมนยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมถึง 20 สมัย (สถิติสูงสุด) ส่วนลิเวอร์พูลได้เพียง 18 สมัยเท่านั้นและครั้งสุดท้ายก็เป็นปี 1989 เกือบ 30 ปีแล้วที่ลิเวอร์พูลอดีตราชาแห่งเกาะอังกฤษต้องห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดจนถูกปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแซงไปได้ในที่สุด

ปีศาจแดงชนะมากกว่าแต่หงส์แดงพร้อมกว่า

สถิติการพบกันของทั้งสองทีมในศึกแดงเดือดด้วยนับทุกรายการแข่งขัน ทั้งสองทีมที่พบกันทั้งสิ้น 203 นัด แมนฯยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 80 นัด ลิเวอร์พูลชนะได้เพียง 66 นัดและเสมอกัน 57 นัด ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองทีมมาพบกันมักจะเป็นการลุ้นแชมป์ของทั้งสองทีมร่วมกัน แต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอกูสันอดีตบรมกุนซือของปีศาจแดงปลดระวางตนเองไปและลิเวอร์พูลได้เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือเฮฟวี่เมทัลชาวเยอรมันมาคุมทีม ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะพัฒนาทีมขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเวทียุโรปหงส์แดงในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์สามารถเข้าชิงยูฟ่าแชมป์เปียนลีกได้ถึง 2 ปีติด และได้แชมป์มาหนึ่งครั้งในปีล่าสุดที่ผ่านมา แต่แมนฯยูไนเต็ดต้องเปลี่ยนกุนซือหลายต่อหลายคนจนกระทั่งในปัจจุบันได้โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์อดีตตำนานนักเตะขวัญใจในยุคเฟอร์กูสันมาคุมทีมปีศาจแดงอาการยังไม่ดีขึ้น โดยก่อนแข่งพวกเขาอยู่อันดับที่ 12 จะมีคะแนนห่างจากลิเวอร์พูลจ่าฝูงถึง 15 คะแนน เก้าอี้ของโซลชากำลังร้อนทีเดียว

ดราม่า var

เมื่อเกมแดงเดือดเริ่มขึ้นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดสนามเหย้าของแมนฯยูไนเต็ด ด้วยฟอร์มการเล่นและสภาพความพร้อมของนักเตะแล้ว ดูเหมือนหงส์แดงผู้มาเยือนจะเป็นต่อไม่น้อย แมนยูฯขาดทั้งปอล ป็อกบา, อ็องตัวนี่ มาร์กซิยาล แต่โชคดีที่พวกเขาได้ดาบิด เด เค อาผู้รักษาประตูกัปตันทีมกลับมาจากอาการบาดเจ็บส่วนลิเวอร์พูลขาดเพียงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกตัวเก่งคนเดียวเท่านั้น เกมในครึ่งแรกกลับเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่เล่นได้ดีกว่า และทำประตูขึ้นนำไปได้ในที่สุด 1-0 จากมาร์คัส แรชฟอร์ดกองหน้าคนเก่งของทีม แต่ที่ถูกพูดถึงมากกว่าประตูของเจ้าบ้าน คือการตัดสินของมาร์ติน แอตกินสัน ที่ไม่เป่าฟาวล์ในจังหวะที่ลินเดอเลิฟกองหลังของแมนยูเขาสกัดโอริกี้กองหน้าของลิเวอร์พูลที่ได้โอกาสลงแทนซาลาร์ ทำให้ลิเวอร์พูลเสียบอลในจังหวะนี้และนำมาสู่การได้ประตูของแมนยูในที่สุด เมื่อดูจากVAR แล้ว จะเห็นได้ว่าการเข้าบอลของลินเดอเลิฟโดนโอริกี้เต็ม ๆ กลายเป็นคำถามถึงเรื่องคำตัดสินและการนำVAR มาใช้ว่าจะช่วยให้เกมฟุตบอลเป็นกีฬาที่ขาวสะอาดและยุติธรรมขึ้นจริงหรือไม่  แต่ไม่ว่าอย่างไร ต้องยอมรับว่าแนวรุกของแมนยูก็ประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยมจนนำมาซึ่งประตูในที่สุด

จบเกมด้วยผลเสมอที่น่าพอใจ?

ลิเวอร์พูลที่เป็นต่อก่อนลงแข่งขันในเกมนี้ แต่กลับเล่นได้ย่ำแย่ ในขณะที่แมนยูฯที่อาจจะมองว่าเขาได้ประโยชน์จากการตัดสินของ VAR และผู้ตัดสิน แต่ปีศาจแดงคือทีมที่เล่นดีกว่าเกือบทั้งเกมและน่าจะเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำก่อนจบลงด้วยผลเสมอในที่สุด จากผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอในเกมนี้ทำให้ลิเวอร์พูลต้องหยุดสถิติชนะรวด และลดช่องว่างคะแนนที่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้เหลือเพียง 6 คะแนน ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 และมีคะแนนเพียง 10 คะแนนห่างจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทีมในโซนตกชั้นอยู่เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ชัยชนะหลุดลอยไปจากทีมเจ้าบ้านอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นผลการแข่งขันที่เหมาะสมแล้วเพราะลิเวอร์พูลก็อาจจะไม่ควรมือเปล่าในศึกแดงเดือด ที่ยังดุเดือดสมชื่อเช่นกัน

post

อีกสักครั้งกับรางวัลแห่งความสำเร็จของเมสซี่

ฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้อีกสมัย และได้รองแชมป์โคปา เดลเรย์ สำหรับสโมสรอื่น นี่อาจจะเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว แต่กับบาร์เซโลน่าพวกเขากลับไม่พอใจเพียงเท่านี้ พวกเขาต้องตกรอบฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีกอีกฤดูกาลไปอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ดีแม้ผลงานของทีมบาร์เซโลน่าอาจจะยังไม่เป็นที่ถูกใจแฟนบอลอีกหลาย ๆ คน แต่นั่นไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของลิโอแนล เมสซี่ ในวัย 32 ปีซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกัปตันทีม และรักษาผลงานในสนามได้ในระดับสุดยอดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ยุคของเมสซี่และโรนัลโด้ยังไม่จบลง

เมสซี่ในวัย 32 และโรนัลโด้ในวัย 35 พวกเขาทั้งสองคนยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โรนัลโด้คว้าดาวซัลโวกัลโช่เซเรียอาในขณะที่เมสซี่ก็คว้ารางวัลดาวซัลโวลาลีกาไปครอบครอง ในฤดูกาลนี้แม้ว่าเมสซี่จะต้องเริ่มต้นฤดูกาลด้วยอาการบาดเจ็บ และยังไม่ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเลย รวมถึงความฟิตที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่เมื่อยามที่กัปตันทีมคนเก่งของอาร์เจนตินาและบาร์เซโลน่าได้สัมผัสบอลในพื้นสนามเมื่อไหร่ คู่แข่งยังให้ความเคารพและครั่นคร้ามในฝีเท้าที่มีพรสวรรค์เหมือนใครของเขา ในหลายครั้งที่คู่แข่งของเมสซี่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลย แต่เป็นความมหัศจรรย์ของเมสซี่เสียเองที่เปลี่ยนแปลงโอกาสที่ได้รับไม่มากให้กลายเป็นประตูนำมาสู่ชัยชนะให้กับทีมได้เสมอ

สถิติสำคัญที่ต้องทำลายให้จงได้

กว่า 15 ปีบนเส้นทางลูกหนังของลิโอเนล เมสซี่ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ นักฟุตบอลจอมทำลายสถิติอย่างแท้จริงและมีสถิติสำคัญที่รอทำลายอีกมากในระยะเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นให้บาร์เซโลน่าหรือทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นจำนวนนัดมากที่สุด การทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลีกา ซึ่งปัจจุบันเมสซี่ทำไปแล้ว 33 ครั้ง โดยสถิติในลาลีกาสเปนยังเป็นของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ทำไปแล้ว 34 ครั้ง รวมถึงการทำลายสถิติการคว้าแชมป์จำนวนครั้งสูงสุดซึ่งในปัจจุบันสถิตินี้เป็นของไรอัน กิ๊กส์แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำเอาไว้ 36 ครั้งปัจจุบันเมสซี่คว้าแชมป์ไปแล้วทั้งสิ้น 34 รายการ และอีกสถิติที่เมสซี่มีโอกาสจะทำลาย ที่คาดว่าสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของเมสซี่และชาวอาร์เจนตินาคือการทำลายสถิติการยิงประตูของเปเล่ในสโมสรเดียว โดยปัจจุบันเมสซี่ยิงให้บาร์เซโลน่าไปแล้ว 604 ประตู เขายังขาดอีก 40 ประตู จะทำลายสถิติของเปเล่ที่ยิงประตูไปทั้งสิ้น 643 ประตูให้กับซานโต๊สสโมสรชื่อดังในบราซิล

ลุ้นบัลลงดอร์สมัยที่ 6

เมสซี่และโรนัลโด้นั้นได้รางวัลลูกบอลทองคำหรือบัลลงดอร์เท่ากันที่ 5 สมัย และในปีนี้ ถึงแม้ผลงานของบาร์เซโลน่าและอาร์เจนติน่าจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผลงานส่วนตัวของเมสซี่ ยังนับว่าอยู่ในระดับสุดยอด เมสซี่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจาก FIFA เป็นครั้งที่ 6 โดยได้รับคะแนนเหนือเวอร์จิลฟานไดค์กัปตันทีมชาติฮอลแลนด์และนักเตะของลิเวอร์พูลแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดแบบพลิกความคาดหมาย และเพิ่งคว้ารางวัลรองเท้าทองคำสมัยที่ 6 เช่นกัน แต่สำหรับรางวัลบัลลงดอร์หรือลูกบอลทองคำนั้น เมสซี่ยังคงตกไปลองคู่แข่งหน้าเดิมอย่างฟานไดค์อยู่หลายช่วงตัว แต่ไม่ว่าเมสซี่หรือฟาน ไดค์ใครจะได้รับรางวัลนี้ไปครอบครอง ก็นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟานไดค์ที่สามารถเอาชนะเมสซี่ในการพบกันโดยตรงระหว่างบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูล

post

มาร์ค บาตร้ากองหลังรูปงามหัวใจบาร์ซ่า

มาร์ค บาตร้า เกิดเมื่อ 15 มกราคม 1991 เขาคือกองหลังชาวคาตาลันโดยกำเนิด เขามีส่วนสูง 1.83 ซม. ซึ่งไม่ได้จัดว่าสูงสำหรับกองหลัง แต่ก็เพียงพอที่จะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอสมควร เพราะจุดเด่นของบาตร้าคือการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี อันเป็นมรดกที่นักเตะเยาวชนจากบาร์ซ่ามักจะทำได้ดีกันทุก ๆ คน บาตร้าเล่นให้บาร์เซโลน่าทั้งสิ้น 59 นัดก่อนย้ายไปเล่นกับสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลีกาเยอรมัน และกลับมาเล่นลาลีกาอีกครั้งกับสโมสรเรอัล เบติสในฤดูกาลนี้มาร์ค บาตร้าติดทีมชาติสเปน 14 ครั้งและยังเคยลงเล่นให้ทีมชาติคาตาโลเนีย อีก 6 ครั้ง

เริ่มต้นความฝันกับบาร์เซโลน่า

มาร์คบาตร้าเหมือนนักฟุตบอลอีกหลาย ๆ คนที่มีความฝันจะได้เล่นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าและประสบความสำเร็จกับทีมเหมือนที่คาร์เลส ปูโยลหรือเคราร์ด ปีเก้เป็น บาตร้าเริ่มสร้างชื่อเสียงและพัฒนาฝีเท้าจนได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ในทีมที่เป็นทั้งกัปตันทีมและกลายเป็นตำนานของทีมไปแล้ว อย่างคาร์เลส ปูโยลเริ่มมีอาการบาดเจ็บและโรยราลงไป ซึ่งแม้ว่าบาตร้าเองจะได้รับการผลักดันจากโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า และหลุยส์ เอ็นริเก้พอสมควรในตอนนั้นและลงเล่นให้บาร์เซโลน่าไปถึง 59 นัด แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บและการขาดการต่อเนื่องจากการลงสนามรวมถึงการย้ายมาของซามูเอลอุมติตี้กองหลังดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสในตอนนั้นจากสโมสรโอลิมปิก ลียงในฝรั่งเศส โอกาสของเขาก็ดูจะน้อยลงเรื่อย ๆ และต้องย้ายทีมในที่สุด

ช่วงเวลาที่ดีและร้ายในบุนเดสลีกา

แม้ว่าเส้นทางฝันของบาตร้ากับบาร์ซ่าจะเดินไปได้ร่วมกันไม่สุดทางแต่การย้ายมาร่วมทัพทีมใหญ่อย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังเป็นอะไรที่ท้าทาย และพิสูจน์ฝีเท้าของบาตร้าอย่างแท้จริง บาตร้าได้กลายเป็นนักเตะหลักในแนวรับของดอร์ทมุนด์ในทันที และลงเล่นไปถึง 31 นัดในเกมบุนเดสลีกา แต่บาตร้ากลับต้องมาได้รับบาดเจ็บจากการถูกวางระเบิดรถบัสของสโมสรถึง 4 สัปดาห์ แถมยังมีปัญหากับแฟนบอลดอร์ทมุนด์บางกลุ่มที่ไม่พอใจการที่บาตร้าโพสต์เชียร์บาร์เซโลน่าการทำศึกเอล กลาสซิโก้กับเรอัล มาดริด รวมถึงยังโพสต์ยกย่องลิโอแนล เมสซี่ทางทวิตเตอร์ ทำให้มีกลุ่มแฟนบอลจำนวนนึงสาปส่งกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่เขาต้องย้ายกลับสเปนในปีต่อมานั่นเอง

กลับสู่ลาลีกาสเปนกับทีมยักษ์เขียว

 การย้ายกลับสู่ลาลีกาเสปนกับทีมยักษ์เขียว “เรอัล เบติส” อาจจะทำให้บาตร้ากลับมามีความสุขและเล่นในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง หลังจากต้องพบกับปัญหาในบุนเดสลีกากับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์แบบไม่คาดคิดในบางเรื่อง การเล่นภายในทีมของกุนซือ “รูบี้” ผู้มีประสบการณ์การคุมเอสปัญญ่อลอีกหนึ่งสโมสรใหญ่ในแคว้นคาตาลันมาแล้ว อาจจะทำให้บาตร้ากลับสู่การเล่นที่เป็นตนเองอีกครั้งในวัย 28 ปี ซึ่งในวันที่บาร์เซโลน่ายังมีปัญหากองหลังตัวกลางเมื่ออุมติตี้ เจ็บเขาเรื้อรัง, ปีเก้เริ่มโรยรา บางทีอาจจะถึงเวลาของมาร์ค บาตร้ากองหลังหนุ่มรูปงามคนนี้กลับไปโลดแล่นในเสื้อสีเลือดหมู น้ำเงินอีกครั้ง

post

กูตีตำนานแห่งราชันย์ ผู้พร้อมรับไม้ผลัดจากซีดาน?

กูตีมีชื่อเต็มว่า “โฆเซ่ มาเรีย กูเตียเรซ” เขาเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1976 ในวัยเด็กนั้นเขามีพรสวรรค์ในกีฬาเทนนิสเป็นอย่างมากแต่กลับเลือกเล่นฟุตบอลแทน โดยมีสโมสรอันเป็นที่รักสโมสรเดียวในดวงใจนั่นคือ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริดนั้นเอง ซึ่งกูตีเล่นให้สโมสรชุดขาวของลาลีกาสเปนเกือบตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขา ก่อนจะย้ายไปเบซิคตัสในช่วงก่อนแขวนสตั๊ด

กูตีผู้เคยเกือบถูกลืม

กูตีคือมาดริสต้าอย่างแท้จริงเขาเริ่มเล่นให้เรอัล มาดริดตั้งแต่ปี 1994 ในชุดซีและเริ่มไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เล่นชุดใหญ่ในปีถัดมา กว่า 6 ปีที่กูตีได้มีโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริดประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ไม่แพ้ผลงานในสนามเลย เรอัล มาดริดเต็มไปด้วยผู้เล่นมีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฌฟอนันโด เรดอนโด้, โรแบร์โต้ คาลอส, ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งแม้ว่าชื่อของกูตีอาจจะไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับแฟนบอลเรอัล มาดริดแล้วเขาคือหนึ่งในคนสำคัญ กูตีเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลาย เขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในกองกลาง หรือแม้แต่กองหน้าก็สามารถเล่นได้

จากยอดนักเตะสู้ยอดโค้ช

กูตีคุมทีมเรอัล มาดริดชุดเยาวชนมากกว่า 7 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์มากมาย โดยเฉพาะการสร้างประวัติศาสตร์สโมสรด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปี 2017 ในครั้งแรกที่ซีเนดีนซีดานบอกลาทีมไปทีมได้แต่งตั้งฆูเล็น โลเปเตกลีอดีตกุนซือทีมชาติสเปน เข้ามาคุมทีมแทนแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งเรอัล มาดริดได้ตั้งซานติอาโก้ โซลารี่หัวหน้าผู้ฝึกสอนจากเรอัล มาดริดคาสติญย่ามาคุมทีมช่วงสั้น ๆ แต่ก็ไปได้ไม่รอดเช่นกัน ชื่อของกูตีจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งกุนซือเรอัล มาดริดในทันที ก่อนที่ซีเนอดีน ซีดานจะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ปัจจุบันกุตีได้ไปเป็นผู้ช่วยของอับดุลลา อวิชี่ ผู้จัดการทีมสโมสรเบซิคตัสในตุรกี เพื่อหาประสบการณ์

ราชันย์ที่แสนยุ่งเหยิง

ปัจจุบันเรอัล มาดริดของซีเนดีน ซีดานยังอยู่ในฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูเง่ายแนวรุกของทีมก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ในลาลีกาพวกเขายิงไปเพียง 16 ประตูเท่านั้นทั้ง ๆ ที่มีแนวรุกระดับโลกอยู่มากมาย ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกที่พวกเขาเป็นเต้ยของถ้วยนี้ ก็เพิ่งถูกปารีสแซงต์ แชร์แมงยำใหญ่มาถึง 3-0 แต่เทพีแห่งโชคยังอยู่กับทีมชุดขาวเมื่อคู่ปรับโดยตรงอย่างบาร์เซโลนาและแอตเลติโก มาดริดฟอร์มออกทะเลพร้อมกับพวกเขา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนทีมใหญ่จากแคว้นคาตาลันอย่างบาร์เซโลน่าเริ่มกลับมาเก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายนัดส่วนทีมตราหมีเพื่อนร่วมเมืองก็เริ่มกลับมาแล้ว เก้าอี้ของซีดานกำลังร้อนฉ่าเลยทีเดียว นี่อาจจะเป็นโอกาสอีกครั้งที่กูตีจะได้กลับเรอัล มาดริดที่เขารักเพียงแต่ไม่ใช่ในฐานะนักเตะเท่านั้นเอง

post

มาราโดน่าผู้เป็นเสมือนพระเจ้าของชาวอาร์เจนตินา

D10s หนึ่งในฉายาของดีเอโก้มาราโดน่า เป็นการตกแต่งตัวอักษร จากคำว่า Dios ที่แปลว่าพระเจ้าในภาษาละตินนั่นเอง ชื่อเต็มของเขาคือดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 มาราโดน่าเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ เขาคือนักฟุตบอลคนที่ 2 ของโลกต่อจากเปเล่ที่ได้รับการสรรเสริญว่ามีฝีเท้าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ก่อนที่ในสองทศวรรษที่ผ่านมาจะมีชื่อของลิโอเนล เมสซี่และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขึ้นมาเทียบเคียง

แอนตี้ฮีโร่ตัวจริง

มาราโดนาเกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 4 โดยมีพี่สาว 3 คนและน้องชายอีก 2 คน เขาสูงเพียง 1.65 ม. เท่านั้น แม้แต่ในช่วงที่เจ้าตัวฟอร์มดีมาก ๆ เขาก็มีน้ำหนักถึง 76 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น้ำหนักน้อยกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้เพียง 12 กิโลกรัม แต่เตี้ยกว่าโรนัลโด้ ถึง 22 ซม.) ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหนเขาก็ไม่น่าจะเป็นนักกีฬาหรือนักฟุตบอลที่เก่งได้เลยหากพิจารณาจากสรีระของเขา เขามีฉายาในตอนเด็กคือ “เปรูโซ่” (ไอ้หัวฟู) อันมาจากทรงผมของเขา แต่โค้ชมักจะเรียกเขาว่า “ไอ้อ้วน” โดยในครั้งหนึ่งของการแข่งขันระดับเยาวชน มาราโดน่าที่เป็นเพียงตัวสำรองและดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากโค้ชเลย ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังตามหลังอยู่ 3-1 ทีมกำลังจะแพ้ โค้ชของเขาได้ตะโกนเรียกให้มาราโดน่าวอร์มก่อนส่งลงไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันทีด้วยอาการฉุนเฉียว ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นเขาต้องตกตะลึงเมื่อทีมของเขาพลิกกลับมาชนะได้ 5-3 โดยที่ “ไอ้เด็กอ้วน” ที่เขาเคยดูแคลนคนนี้ยิงแฮตทริกได้ในเกมนั้น

ชีวิตที่ติดลบกับการเป็นตัวตนของตัวเอง

ตลอดชีวิตของการค้าแข้งมาราโดน่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องของโคเคนซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกถึงการปฏิเสธ ทำให้เขามาจะโดนลงโทษจากทางสโมสรและทางกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาการติดโคเคนของเขาส่วนหนึ่งมาจากการรักษาอาการบาดเจ็บเนื่องจากในฟุตบอลยุคก่อนนักฟุตบอลในเกมรุกเช่นเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรรมการมากเท่าเทียมกับปัจจุบันทำให้เขาต้องเผชิญกับการเข้าบอลหนักจนเป็นที่มาของอาการบาดเจ็บเสมอ แต่การได้รับคำดูถูกจากแฟนบอลคู่แข่งไม่เคยสร้างความอ่อนไหวให้กับเขาเลย เพราะ 2 สิ่งในฟุตบอลที่เขาแคร์ที่สุดคือทีมชาติอาร์เจนตินาและโบคา จูเนียร์สโมสรที่เขารักหมดใจตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาเป็นนักต่อสู้และไม่เคยลืมว่าเขามาจากที่ใด มาราโดน่าผู้ไม่เคยเสแสร้ง เขาแสดงออกอย่างลิงโลดทุกครั้งที่ทีมได้ชัยชนะที่สำคัญ และเดินร้องไห้อย่างไม่อายใครเมื่อทีมที่เขารักต้องพ่ายแพ้ นี่คือมาราโดน่าผู้ซึ่งเป็นขวัญใจของชนชั้นแรงงานผู้ยากจนของชาวอาร์เจนตินา

เมสซี่และมาราโดน่า

ผู้คนมักจะเปรียบเทียบ 2 อัจฉริยะต่างยุคกันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าสองคนนี้จะมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน สวมหมายเลข 10 เหมือนกัน, เล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาและสโมสรบาร์เซโลน่าเหมือนกัน หรือแม้แต่เคยเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามจากกลางสนามเข้ามายิงประตูได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้ว 2 คนนี้มีอีกหลายอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมสซี่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ส่วนมาราโดนาเป็นกองกลางเสียมากกว่า หรือจะเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ เมสซี่ดูจะเป็นกัปตันทีมที่สุขุม พูดน้อย จนหลายครั้งสื่อโจมตีเขาว่า เมสซี่มักจะถอดใจก่อนลูกทีมเสียอีก ในขณะที่มาราโดน่าเขาคือผู้นำอย่างแท้จริงทุกคนในทีมต่างพยายามหนักทำงานเพื่อเขาแย่งบอลมาแล้วส่งให้เขา แต่ไม่ว่าจะมีการเปรียบเทียบกันอย่างไร แฟนบอลคือผู้ที่ได้กำไรจากการได้ชมฝีเท้าอันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองคน

post

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของโบคา จูเนียร์

โบคา จูเนียร์ส คือหนึ่งสโมสรใหญ่ในอาร์เจนตินา ก่อตั้งเมื่อ 3 เมษายน 1905 ในกรุงบัวโนสไอเรสร่วมกับริเวอร์เพลท พวกเขา เป็นเจ้าของสนามลา บอมโบเนร่ที่เก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังซึ่งมีความจุสนามกว่า 49,000 คน โบคา จูเนียร์คือทีมขวัญใจชนชั้นแรงงานชาวอาร์เจนตินาและเป็นสโมสรในดวงใจของดีเอโก้ มาราโดน่านักฟุตบอลที่ชาวอาร์เจนตินายกย่องให้เป็นพระเจ้าของพวกเขา

โบคา จูเนียร์กับฟุตบอลลีกอาเจนติน่า

สโมสรชั้นนำในอเมริกาใต้ต่างจากสโมสรระดับ ท็อปของยุโรปโดยสิ้นเชิง ขณะที่สโมสรดังอยากบาร์เซโลน่าหรือเรอัล มาดริดต่างควานหาเพชรเม็ดงามจากสโมสรอเมริกาใต้เหล่านี้ โบคา จูเนียร์หรือสโมสรชั้นนำอื่น ๆ กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะพวกเขาอยากจะขายนักเตะมีชื่อของตนเองเพื่อให้ได้ราคามากที่สุด ทั้งนี้เพื่อโอกาสของตัวนักเตะเองที่จะได้มีสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองเหมือนรุ่นพี่ทีมชาติอาร์เจนตินอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ต่างเป็นแบบอย่าง เป็นความฝันของเด็ก ๆ ชาวอาร์เจนตินา ประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็ก ๆ หลายคนเกิดในครอบครัวที่ยากจน ฟุตบอลจึงแทบจะเป็นทุกอย่างของเด็ก ๆ เหล่านี้และเป็นโอกาสของครอบครัวของพวกเขา ทำให้ในบางฤดูกาลที่สโมสรที่เป็นแชมป์ของประเทศแต่ในฤดูกาลถัดมาพวกเขากลับต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตกชั้นทั้งนี้เพราะนักเตะในทีมคนสำคัญบางคนย้ายออกไปเล่นบอลสโมสรในยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่

โบคาและริเวอร์เพลท

ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง โดยเฉพาะริเวอร์เพลท คู่ปรับร่วมเมืองภายใต้การนำของมาร์เซโล่ กายาร์โด้พวกเขาคว้าแชมป์โคปาลิเบอร์ตาโดเรสได้เป็นว่าเล่น ส่วนโบคาจู เนียร์เองก็คว้าคว้าแชมป์ลีกอาเจนติน่าเป็นครั้งที่ 33 สำเร็จ แต่ก็ยังตามหลังริเวอร์เพลทซึ่งเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดที่ 36 สมัย และถึงแม้ว่าทีมเหลือง-ทองแห่งเมืองหลวงจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนแฟนบอลและบริหารจะไม่พอใจนักกับการที่ต้องพลาดแชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรสคัพด้วยน้ำมือของริเวอร์เพลท หรือความกดดันที่เกินแบกรับไหว ทำให้กุนซืออดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลอย่างกิแยร์โม เชล็อตโต้ต้องอำลาจากทีมไปในที่สุด

โบคาในยุคของกุนซืออัลฟาโร่

กุสตาโว อัลฟาโร่ คือกุนซือชาวอาร์เจนตินาวัย 57 ปีซึ่งมีประสบการณ์การคุมทีมยาวนานเกือบ 30 ปีในลีกอาร์เจนติน่า แต่กับการคุมบังเหียนสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างโบคาที่มีนักเตะชื่อดังตัวเก๋าในทีมอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เมาโร ซาราเต้ คงเป็นงานที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา ในเวลานี้โบคา จูเนียร์นำเป็นจ่าฝูงร่วมกับริเวอร์เพลทและอาร์เจนติโนส จูเนียร์สโดยทีมหลังเล่นน้อยกว่า 1 นัด ส่วนริเวอร์เพลทยังมีเกมนัดชิงชนะเลิศโคปาลิเบอร์ตาดอเรสครับรออยู่ การลุ้นแชมป์ลีกอาร์เจนติน่าสมัยที่ 34 จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโบคาของอัลฟาโร่ แต่คงเป็นงานที่ไม่ง่ายแต่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

post

เลบรอน เจมส์กับฉายาคิง ออฟ เอ็นบีเอที่คู่ควร?

เลบรอนส์ เจมส์ คือยอดนักบาสเกตบอลอาชีพของ NBA ซึ่งปัจจุบันสังกัดทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1984 สามารถเล่นในตำแหน่ง small forward หรือ power forward ได้ดีทั้ง 2 ในตำแหน่ง เลบรอน เจมส์ถูกดราฟฟ์มาเป็นคนแรกในปี 2003 โดยคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สและฉายแววความเป็นยอดนักบาสทันทีมือคว้าตำแหน่ง rookie of the year (ผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) ในปีแรกของเขาได้ในทันที

สถิติส่วนตัวกับการย้ายทีม

เลบรอน เจมส์สร้างสถิติเอาไว้ในปีแรกกับคาวาเลียร์ทันที เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ทำทริปเปิ้ล ดับเบิ้ลซึ่งคือการทำแต้ม, รีบาวน์และแอสซิสต์ ได้ 10 ครั้งในแมทช์เดียวกัน, และยังเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำแต้มได้ถึง 50 ได้อีกด้วย แต่องค์ประกอบของทีมคาวาเลียร์สที่ดูแล้วอาจจะยากเกินไปกับความสำเร็จ รวมถึงการที่เจมส์มีเพื่อนสนิทเป็นยอดนักบาสหลาย ๆ คนทำให้เขาเลือกย้ายสังกัดมาร่วมทีมที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือไมอามี่ ฮีท ซึ่งฮีท ในยุคนั้นแทบจะเป็นดรีมทีมย่อม ๆ ในทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลา 2010-2014 เจมส์และเพื่อนรวมทีมใหม่ของเขาก็ไม่ทำให้แฟนบาสเกตบอลชาวไมอามี่ต้องผิดหวัง เมื่อสามารถพาทีมเข้าชิง NBA ได้ถึง 4 ปีติดและคว้าแชมป์มาได้ 2 ครั้งก่อนที่เขาจะย้ายกลับสู่คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สทีมแรกของเขาใน NBA อีกครั้ง

แชมป์NBAครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคาวาเลียร์

4 ปีที่แล้วเลบรอน เจมส์เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมไมอามี่ ฮีทเข้าชิง NBA ทำให้เจมส์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักบาสเกตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่การที่เจมส์พาทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สเข้าชิง NBA อย่างต่อเนื่องอีก 4 ปีติดต่อกัน ช่างเป็นเรื่องที่แสนมหัศจรรย์ และแม้ว่าสุดท้ายแล้วคาวาเลียร์ของเลบรอน เจมส์จะเอาชนะโกลเด้นสเตทวอร์ริเออร์สคู่ชิงของพวกเขาทั้ง 4 ปีได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่นั่นก็คือแชมป์เอ็นบีเอครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคลีฟแลนด์ และเลบรอน เจมส์ได้ย้ายสังกัดอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์บาสเกตบอล NBA กับทีมยักษ์แห่งวงการบาสเกตบอลอย่างลอสแองเจลิส เลเกอร์ส โดยสัญญา 5 ปีของเขารับทรัพย์ไปถึง 88 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 5,500 บาทไทยเลยทีเดียว ซึ่งเหตุผลหนึ่งนอกจากเรื่องเงินแล้วอาจจะเป็นเหตุผลเดิมที่เขาตัดสินใจย้ายจากคาวาเลียร์สไปฮีท นั่นคือองค์ประกอบทีมที่อาจจะยากแต่ความสำเร็จเสียแล้วเพราะการเข้าชิง NBA ใน 2 ฤดูกาลหลังพวกเขาเอาชนะวอริเออร์ได้เพียง 1 ใน 9 เกมเท่านั้น

โคบี้ ไบรอันและไมเคิล จอร์แดน

การถูกนำไปเปรียบเทียบกับยอดนักบาสเกตบอลโคบี้ไบรอันและราชาวงการฟุตบอลอย่างไมเคิล จอร์แดน กลายเป็นเรื่องไม่เกินจริงเสียแล้ว แม้จะมีค่อนแคะ เหน็บแนมจากแฟนบอลส่วนหนึ่งว่าความสำเร็จของเลบรอน เจมส์มาจากการองค์ประกอบของทีมที่เขาอยู่เสียมากกว่า ซึ่งต่างจากในยุคของไมเคิล จอร์แดนซึ่งจอร์แดนใช้เวลายาวนานอย่างมากกว่าจะพาชิคาโก้ บูลส์ทีมขวัญใจอดีตประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบามาซึ่งไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเลย คว้าแชมป์ NBA ได้ถึง 6 ครั้งและเป็นชัยชนะทั้งหมดในทุกครั้งที่ได้เข้าชิงการเปรียบเทียบผลงานนักกีฬาในยุคเก่าไหมอาจจะเป็นการเปรียบเทียบที่ยากบางทีนี่อาจจะเป็นเหมือนการเปรียบเทียบระหว่างดีเอโก้ มาราโดน่ากับลิโอเนลเมสซี่ในวงการฟุตบอลหรือจอห์น แม็คแอนโรกับโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ไม่สามารถสรุปผลได้เช่นกันเลบรอน เจมส์และไมเคิล จอร์แดน ว่าใครจะเป็นเบอร์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการบาสเกตบอล

post

อลิสซงนายประตูผู้คู่ควรบัลลงดอร์ สวมหมายเลข 13 พร้อมค่าตัวสถิติโลก

อลีสซง เบ็คเกอร์ผู้รักษาประตูหมายเลข 1 ทีมชาติบราซิลและสโมสรลิเวอร์พูลวัย 26 ปีเจ้าของความสูง 1.93 ซม. โดยในฤดูกาลที่แล้วเจ้าตัวย้ายจากโรม่ามาร่วมทีมหงส์แดงด้วยค่าตัว 66.8 ล้านปอนด์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถิติโลกในเวลานั้นท่ามกลางความสงสัยจากแฟนบอลที่มีต่อผู้รักษาประตูเครางามชาวแซมบ้าว่าจะแก้ปัญหาการเสียประตูของลิเวอร์พูลได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ลอริส คาริอุสและซิมงต์ มิณโญเล่ต์ผลัดกันก่อความผิดพลาดจนทำให้ยอดทีมจากอังกฤษต้องมือเปล่าในฤดูกาลก่อน

บทเรียนจากความผิดพลาดนำไปสู่ความสำเร็จ

ถึงแม้ว่าอลิสซงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทันทีที่ได้รับโอกาส และดูเหมือนจะเข้ามาอยู่ในหัวใจของเหล่าเดอะค็อปทันทีจนกระทั่งเกิดความผิดพลาดขึ้นในแมทช์ที่ลิเวอร์พูลพบกับเลสเตอร์จะด้วยความมั่นใจเกินไปเหรือความประมาทก็ตาม อลิสซงทำผิดพลาดจนนำไปสู่การเสียประตูแบบไม่คาดคิด ถือเป็นโชคดีที่ไหนตอนนั้นลิเวอร์พูลนำเลสเตอร์อยู่ 2 ประตูก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะของหงส์แดงในที่สุด แม้ว่าหลังเกมอลิสซงจะถูกแฟนของตนเองตำหนิอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ในความผิดพลาดนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในที่สุด เพราะหลังจากนั้นอลิสซงไม่เคยแสดงให้เห็น ถึงการเล่นประมาทหรือมั่นใจเกินเหตุอย่างที่เคย นอกจากจะไม่พลาดแล้วอลิสซงยังช่วยเซฟแต้มให้ลิเวอร์พูล  อย่างเป็นกอบเป็นกำและสร้างสถิติส่วนตัวขึ้นมากมาย เริ่มจากการรักษาคลีนชีตในฤดูกาล 2018-19 ได้ถึง 21 เกม        ทำลายสถิติเดิมของเปเป้ เรน่าที่ทำไว้ในฤดูกาล 2005-06 ลงอย่างราบคาบ โดยเจ้าตัวทำสถิติเทียบเท่าเอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์      ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ทำไว้เท่ากันในฤดูกาล 2008-09

คว้า 3 ถุงมือทองคำลุ้นเล็ก ๆ กับบัลลงดอร์

ถึงแม้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจะจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ไม่ใช่ลิเวอร์พูลของอลิสซงก็ตาม แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเก็บคลีนชีตไปถึง 6 นัดนอกจาก       จะทำให้เจ้าตัวคว้าถุงมือทองคำเป็นรางวัลที่ 2 ให้แก่ตนเองแล้วยังพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ใบใหญ่ที่สุดของยุโรป           ได้เป็นสมัยที่ 6 อีกด้วยทั้ง ๆ ที่เป็นการลงเล่นฤดูกาลแรกให้กับสโมสร ไม่เพียงเท่านั้น ในฟุตบอลโคปาอเมริกา 2019 อลิสซงยังสามารถเก็บคลีนชีตได้ถึง 5 นัดกับบราซิล แม้ว่าในนัดชิงอลิสซงจะเสียประตูแรกให้แก่เปรูจากลูกจุดโทษอย่างน่าเสียดายแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ อลิสซง กลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกของโลกที่คว้ารางวัลถุงมือทองคำได้ 3 รายการภายในหนึ่งซีซั่น ด้วยความสำเร็จส่วนตัวรวมถึงจากสโมสรและระดับทีมชาติ ถึงแม้จะมีโอกาสไม่มาก แต่อลิสซง เบ็คเกอร์อาจจะเป็นผู้รักษาประตูคนที่สองต่อจากเลฟ ยาชินที่เคยคว้ารางวัลนี้ในปี 1963 เพียงครั้งเดียวในตำแหน่งนี้