post

ทัศนะจากตำนานทีมชาติอังกฤษ “เชียเรอร์” ยก อเกวโร่ เหนือกว่า อองรี คุณเห็นด้วยหรือไม่

เมื่อไม่นานมานี้มีสื่อจากอังกฤษ BBC Sounds จัดรายการ Podcast และได้มีการเชิญผู้ร่วมรายการมา 3 คนซึ่งล้วนเป็นสุดยอดนักเตะในตำนานของทีมชาติอังกฤษทั้ง อลัน เชียเรอร์, เอียน ไรท์, และแกรี่ ลินิเกอร์ พวกเขาได้สนทนาและสัมภาษณ์กันในเรื่องราวของฟุตบอล จนมาถึงประเด็นการเป็นสุดยอดดาวยิง ที่คนจับมาเป็นประเด็นให้คิดต่อก็คือทัศนะของ อลัน เชียเรอร์ ซึ่งไม่รู้ว่าเขากล่าวเล่น ๆ หรือไม่ เพราะเขาได้แสดงทัศนะในเชิงถือหาง “เอล กุน” ว่ามีความเจ๋งที่เหนือกว่า “อองรี”

เชียเรอร์ให้ตัวเองเป็นเบอร์หนึ่งและคนอื่นเป็นรองกว่า

รายการ Podcast ในวันนั้นบรรยากาศการพูดคุยและให้สัมภาษณ์ก็ดูจะเป็นปกติ แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าเบื้องหลังจะมีความเป็นทางการแค่ไหน แต่ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของรายการฟุตบอลใหญ่พรีเมียร์ลีกอย่าง เชียเรอร์ ผู้ที่สร้างตำนานทำประตูได้สูงสุดถึง 260 ประตูก็ได้กล่าวไปแล้วว่า หากเทียบความเจ๋ง แน่นอน ตัวเขาเองย่อมอยู่อันดับ 1 และถ้าถามว่าเขาจะให้ใครเป็นเบอร์ 2 รองจากเขาก็จะต้องเป็น เซร์คิโอ อเกวโร่ หัวหอกชาวอาร์เจนติน่า ที่เล่นอยู่ให้ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่วนอันดับ 3 เขายกให้ เธียร์รี่ อองรี นักเตะอันเป็นตำนานของทีมปืนใหญ่อาร์เซน่อล

แน่นอนว่าการยกหัวชูหางว่าตัวเขาเองเป็นเบอร์ 1 นั้น น่าจะเป็นคำพูดติดตลกแบบอารมณ์ขัน แต่การจัดอันดับ 2 และ 3 ที่รองลงมานั้น น่าจะดูเหมือนเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจจริง ๆ  จึงทำให้ประเด็นนี้ถูกยกมาถกเถียงกันต่อในวงสังคมฟุตบอล ซึ่งก็เป็นเรื่องราวที่ทอล์คกันได้อย่างอย่างสนุก เหมือนกับตอนที่แฟนบอลร่วมลุ้นร่วมพนันทีมที่ตัวเองรักในเว็บไซต์พนัน fun88 ที่ต่างก็ต้องการให้ทีมที่ตัวเองพนันไว้เข้าวิน ต้องการให้นักเตะที่ตัวเองรักยิงประตูได้ ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันนอกสนามที่น่าสนใจดีเหมือนกัน

จริง ๆ เชียเรอร์ก็มีเหตุผลที่น่าฟังอยู่เหมือนกัน

การที่อลัน เชียเรอร์ ยกให้เซร์คิโอ อเกวโร่มีความเหนือชั้นกว่าเธียร์รี่ อองรีนั้น ไม่ใช่ว่าเขาคิดเองเออเองแต่เขาก็พิจารณาด้วยความเป็นเหตุเป็นผล โดยเชียเรอร์บอกว่า จริง ๆ แล้วเขาชอบทั้งสองคนเลย และนับถือในฝีเท้าของทั้งสองด้วย แต่ในความคิดของเขาแล้วมองว่า ฟุตบอลมีสไตล์การเล่นที่แบ่งเป็นยุค ๆ ไป ซึ่งยุคใหม่ก็จะมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ที่ดีกว่ายุคก่อนที่ผ่านมา ดังนั้นสไตล์การเล่นของผู้เล่นกองหน้าจึงเปลี่ยนไป จริงอยู่ว่า เธียร์รี่ อองรี เป็นจอมถล่มประตู แต่อองรีจะมีมุมถนัดเฉพาะของเขาในการทำประตู ส่วนอเกวโร่ซึ่งขณะนี้ในวัย 32 ปี เขายังคงพลิ้วไหว และยังคงสามารถทำประตูได้หลากหลายมุม ทั้งซ้าย ขวา และตรงกลาง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขายังให้อเกวโร่เหนือกว่าอองรีนั่นเอง

ไม่รู้ว่าแฟน ๆ ฟุตบอลจะคิดเห็นเหมือนอลัน เชียเรอร์หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ประเด็นนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่นำไปสู่การถกเถียงในวงการฟุตบอลในอังกฤษไปอย่างรีบร้อยแล้วนั่นเอง

post

แดงเดือนผีหงส์ยังเดือดเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือดราม่า var

เชื่อว่าไม่มีคอบอลคนใดที่ไม่รู้จักศึกแดงเดือด เพราะนั่นคือการโคจรมาพบกันของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 2 สโมสรยอดนิยมที่แฟนบอลชาวไทยติดตามมากที่สุด ลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ด คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนเกาะอังกฤษ ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปมากกว่าคือ 6 สมัย (แมนยูไนเต็ดได้ 3 สมัย) แต่แมนยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือดิวิชั่น 1 เดิมถึง 20 สมัย (สถิติสูงสุด) ส่วนลิเวอร์พูลได้เพียง 18 สมัยเท่านั้นและครั้งสุดท้ายก็เป็นปี 1989 เกือบ 30 ปีแล้วที่ลิเวอร์พูลอดีตราชาแห่งเกาะอังกฤษต้องห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดจนถูกปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแซงไปได้ในที่สุด

ปีศาจแดงชนะมากกว่าแต่หงส์แดงพร้อมกว่า

สถิติการพบกันของทั้งสองทีมในศึกแดงเดือดด้วยนับทุกรายการแข่งขัน ทั้งสองทีมที่พบกันทั้งสิ้น 203 นัด แมนฯยูไนเต็ดเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 80 นัด ลิเวอร์พูลชนะได้เพียง 66 นัดและเสมอกัน 57 นัด ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองทีมมาพบกันมักจะเป็นการลุ้นแชมป์ของทั้งสองทีมร่วมกัน แต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอกูสันอดีตบรมกุนซือของปีศาจแดงปลดระวางตนเองไปและลิเวอร์พูลได้เจอร์เก้น คล็อปป์กุนซือเฮฟวี่เมทัลชาวเยอรมันมาคุมทีม ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะพัฒนาทีมขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเวทียุโรปหงส์แดงในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์สามารถเข้าชิงยูฟ่าแชมป์เปียนลีกได้ถึง 2 ปีติด และได้แชมป์มาหนึ่งครั้งในปีล่าสุดที่ผ่านมา แต่แมนฯยูไนเต็ดต้องเปลี่ยนกุนซือหลายต่อหลายคนจนกระทั่งในปัจจุบันได้โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์อดีตตำนานนักเตะขวัญใจในยุคเฟอร์กูสันมาคุมทีมปีศาจแดงอาการยังไม่ดีขึ้น โดยก่อนแข่งพวกเขาอยู่อันดับที่ 12 จะมีคะแนนห่างจากลิเวอร์พูลจ่าฝูงถึง 15 คะแนน เก้าอี้ของโซลชากำลังร้อนทีเดียว

ดราม่า var

เมื่อเกมแดงเดือดเริ่มขึ้นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดสนามเหย้าของแมนฯยูไนเต็ด ด้วยฟอร์มการเล่นและสภาพความพร้อมของนักเตะแล้ว ดูเหมือนหงส์แดงผู้มาเยือนจะเป็นต่อไม่น้อย แมนยูฯขาดทั้งปอล ป็อกบา, อ็องตัวนี่ มาร์กซิยาล แต่โชคดีที่พวกเขาได้ดาบิด เด เค อาผู้รักษาประตูกัปตันทีมกลับมาจากอาการบาดเจ็บส่วนลิเวอร์พูลขาดเพียงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกตัวเก่งคนเดียวเท่านั้น เกมในครึ่งแรกกลับเป็นแมนฯยูไนเต็ดที่เล่นได้ดีกว่า และทำประตูขึ้นนำไปได้ในที่สุด 1-0 จากมาร์คัส แรชฟอร์ดกองหน้าคนเก่งของทีม แต่ที่ถูกพูดถึงมากกว่าประตูของเจ้าบ้าน คือการตัดสินของมาร์ติน แอตกินสัน ที่ไม่เป่าฟาวล์ในจังหวะที่ลินเดอเลิฟกองหลังของแมนยูเขาสกัดโอริกี้กองหน้าของลิเวอร์พูลที่ได้โอกาสลงแทนซาลาร์ ทำให้ลิเวอร์พูลเสียบอลในจังหวะนี้และนำมาสู่การได้ประตูของแมนยูในที่สุด เมื่อดูจากVAR แล้ว จะเห็นได้ว่าการเข้าบอลของลินเดอเลิฟโดนโอริกี้เต็ม ๆ กลายเป็นคำถามถึงเรื่องคำตัดสินและการนำVAR มาใช้ว่าจะช่วยให้เกมฟุตบอลเป็นกีฬาที่ขาวสะอาดและยุติธรรมขึ้นจริงหรือไม่  แต่ไม่ว่าอย่างไร ต้องยอมรับว่าแนวรุกของแมนยูก็ประสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยมจนนำมาซึ่งประตูในที่สุด

จบเกมด้วยผลเสมอที่น่าพอใจ?

ลิเวอร์พูลที่เป็นต่อก่อนลงแข่งขันในเกมนี้ แต่กลับเล่นได้ย่ำแย่ ในขณะที่แมนยูฯที่อาจจะมองว่าเขาได้ประโยชน์จากการตัดสินของ VAR และผู้ตัดสิน แต่ปีศาจแดงคือทีมที่เล่นดีกว่าเกือบทั้งเกมและน่าจะเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำก่อนจบลงด้วยผลเสมอในที่สุด จากผลการแข่งขันที่จบลงด้วยการเสมอในเกมนี้ทำให้ลิเวอร์พูลต้องหยุดสถิติชนะรวด และลดช่องว่างคะแนนที่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้เหลือเพียง 6 คะแนน ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหล่นลงมาอยู่ในอันดับที่ 13 และมีคะแนนเพียง 10 คะแนนห่างจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทีมในโซนตกชั้นอยู่เพียง 2 คะแนนเท่านั้น ชัยชนะหลุดลอยไปจากทีมเจ้าบ้านอย่างน่าเสียดาย อาจจะเป็นผลการแข่งขันที่เหมาะสมแล้วเพราะลิเวอร์พูลก็อาจจะไม่ควรมือเปล่าในศึกแดงเดือด ที่ยังดุเดือดสมชื่อเช่นกัน

post

“โปรแจ๊ส” อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ โปรกอล์ฟสุดฮอต 2019

ในปี 2019 ที่ผ่านมา คงไม่มีมีนักกอล์ฟไทยคนไหนโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงไปกว่า “โปรแจ๊ส” ที่สามารถคว้าแชมป์เอเชี่ยน ทัวร์มาครองได้ถึง 4 รายการ กวาดเงินรางวัลรวมกันถึง 1,057,524 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 32 ล้านบาท พร้อมกับขยับขึ้นไปรั้งอันดับที่ 40 ของโลก

โปรแจ๊ส เริ่มสนใจและฝึกเล่นกอล์ฟมาตั้งแต่เด็ก โดยทำสถิติเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดที่ผ่านการคัดตัวเข้าแข่งขันเอเชี่ยน ทัวร์ เมื่อปี 2010 ด้วยวัยเพียง 14 ปี 71 วัน ในรายการAsian Tour International ซึ่งจัดการแข่งขันที่จังหวัดนครปฐม ก่อนที่จะเทิร์นโปรเป็นนักกอล์ฟอาชีพในเดือนธันวาคม 2010 โดยเลือกใช้ชื่อ Jazz Janewattananond ในการลงแข่งขันกอล์ฟอาชีพ โดยชื่อเล่นนี้มีที่มาจากคุณพ่อซึ่งเป็นแฟนเพลงแจ๊สนั้นเอง

โปรแจ๊สสามารถคว้าแชมป์เอเชี่ยน ทัวร์รายการแรกได้สำเร็จในปี 2017 จากรายการ Bashundhara Bangladesh Open ณ กรุงธากา ประเทศบังคลาเทศ ทำให้โปรแจ๊สได้โอกาสเล่นรอบคัดเลือก The Open Championship 2018 แต่ไม่ผ่านการตัดตัว ก่อนจะมาคว้าแชมป์เอเชี่ยน ทัวร์เป็นครั้งที่สองให้ตัวเองในรายการ Queen’s Cup 2018 ที่เมืองพัทยา จบฤดูกาลด้วยการครองอันดับที่ 123 ของโลก ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญของทีมไทยในรายการ Amata Friendship Cup ซึ่งเป็นกอล์ฟรายการพิเศษประเภททีมระหว่างทีมไทยกับทีมญี่ปุ่น โดยโปรแจ๊สเป็นนักกอล์ฟไทยเพียงคนเดียวที่สามารถเก็บชนะได้ทุกแมตช์ที่ลงแข่งขัน พาทีมไทยคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้สำเร็จ

และแล้วเมื่อฤดูกาล 2019 เปิดฉากขึ้น โปรแจ๊สก็โชว์ฟอร์มร้อนแรงทันที เมื่อคว้าแชมป์ Singapore Open ได้ตั้งแต่ต้นปี นับเป็นแชมป์เอเชี่ยน ทัวร์รายการที่สาม ส่งผลให้อันดับโลกขยับขึ้นไปอยู่ที่ 74 ติดท็อป 100 ของโลกได้เป็นครั้งแรก ทำให้ได้รับสิทธิเข้าแข่งขัน PGA Championship โดยจบในอันดับที่ 14 ก่อนจะมาคว้าแชมป์ Kolon Korea Open ในช่วงกลางปี ตามด้วยแชมป์ BNI Indonesian Masters ในช่วงปลายปี ทำให้เขากลายเป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าแชมป์เอเชี่ยน ทัวร์ 5 รายการ และทะยานขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 45 ของโลก เท่านั้นไม่พอยังสามารถคว้าแชมป์ Thailand Masters ส่งท้ายฤดูกาล 2019 ได้สำเร็จ จนจบด้วยอับดับที่ 40 ของโลกในที่สุด เรียกได้ว่าขึ้นแท่นเป็นขวัญใจแฟน ๆ กีฬากอล์ฟประจำเว็บไซต์ VWIN เป็นที่เรียบร้อย

ผลงานที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดของโปรแจ๊ส ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับโค้ชสวิงระดับโลกอย่าง พีท โคเวน ที่เคยร่วมงานกับนักกอล์ฟชั้นนำของโลกอย่าง รอรี่ แม็คอิลรอย, เฮนริค สเตนสัน และลี เวสต์วูด มาแล้ว ทำให้วงสวิงของโปรแจ๊สพัฒนาไปอย่างมาก จนมีระยะไดร์ฟเฉลี่ยอยู่ที่ 295.18 หลา ใกล้เคียงกับนักกอล์ฟชื่อดังระดับ PGA Tour ทีเดียว

ในฤดูกาล 2020 นี้ โปรแจ๊สในวัย 24 ปี ได้ก้าวขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 1 ของเอเชี่ยน ทัวร์อย่างเป็นทางการ โดยจะประเดิมด้วยรายการ Hong Kong Open และที่สำคัญในปีนี้โปรแจ๊สได้สิทธิเข้าร่วมแข่งขัน Masters Tournament เป็นครั้งแรก จากการทำอันดับติด Top 50 ของโลก ซึ่งการได้รับโอกาสลงแข่งขันในรายการระดับเมเจอร์อย่างสม่ำเสมอนี่เอง อาจเป็นส่วนสำคัญช่วยให้โปรแจ๊สกลายเป็นนักกอล์ฟชายไทยคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการเมเจอร์มาครองได้สำเร็จก็เป็นได้

post

อีกสักครั้งกับรางวัลแห่งความสำเร็จของเมสซี่

ฤดูกาล 2018 ที่ผ่านมา บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้อีกสมัย และได้รองแชมป์โคปา เดลเรย์ สำหรับสโมสรอื่น นี่อาจจะเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว แต่กับบาร์เซโลน่าพวกเขากลับไม่พอใจเพียงเท่านี้ พวกเขาต้องตกรอบฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปียนลีกอีกฤดูกาลไปอย่างเจ็บปวด อย่างไรก็ดีแม้ผลงานของทีมบาร์เซโลน่าอาจจะยังไม่เป็นที่ถูกใจแฟนบอลอีกหลาย ๆ คน แต่นั่นไม่ใช่ผลงานส่วนตัวของลิโอแนล เมสซี่ ในวัย 32 ปีซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกัปตันทีม และรักษาผลงานในสนามได้ในระดับสุดยอดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ยุคของเมสซี่และโรนัลโด้ยังไม่จบลง

เมสซี่ในวัย 32 และโรนัลโด้ในวัย 35 พวกเขาทั้งสองคนยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โรนัลโด้คว้าดาวซัลโวกัลโช่เซเรียอาในขณะที่เมสซี่ก็คว้ารางวัลดาวซัลโวลาลีกาไปครอบครอง ในฤดูกาลนี้แม้ว่าเมสซี่จะต้องเริ่มต้นฤดูกาลด้วยอาการบาดเจ็บ และยังไม่ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเลย รวมถึงความฟิตที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่เมื่อยามที่กัปตันทีมคนเก่งของอาร์เจนตินาและบาร์เซโลน่าได้สัมผัสบอลในพื้นสนามเมื่อไหร่ คู่แข่งยังให้ความเคารพและครั่นคร้ามในฝีเท้าที่มีพรสวรรค์เหมือนใครของเขา ในหลายครั้งที่คู่แข่งของเมสซี่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดพลาดเลย แต่เป็นความมหัศจรรย์ของเมสซี่เสียเองที่เปลี่ยนแปลงโอกาสที่ได้รับไม่มากให้กลายเป็นประตูนำมาสู่ชัยชนะให้กับทีมได้เสมอ

สถิติสำคัญที่ต้องทำลายให้จงได้

กว่า 15 ปีบนเส้นทางลูกหนังของลิโอเนล เมสซี่ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ นักฟุตบอลจอมทำลายสถิติอย่างแท้จริงและมีสถิติสำคัญที่รอทำลายอีกมากในระยะเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นให้บาร์เซโลน่าหรือทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นจำนวนนัดมากที่สุด การทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลีกา ซึ่งปัจจุบันเมสซี่ทำไปแล้ว 33 ครั้ง โดยสถิติในลาลีกาสเปนยังเป็นของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ทำไปแล้ว 34 ครั้ง รวมถึงการทำลายสถิติการคว้าแชมป์จำนวนครั้งสูงสุดซึ่งในปัจจุบันสถิตินี้เป็นของไรอัน กิ๊กส์แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำเอาไว้ 36 ครั้งปัจจุบันเมสซี่คว้าแชมป์ไปแล้วทั้งสิ้น 34 รายการ และอีกสถิติที่เมสซี่มีโอกาสจะทำลาย ที่คาดว่าสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ของเมสซี่และชาวอาร์เจนตินาคือการทำลายสถิติการยิงประตูของเปเล่ในสโมสรเดียว โดยปัจจุบันเมสซี่ยิงให้บาร์เซโลน่าไปแล้ว 604 ประตู เขายังขาดอีก 40 ประตู จะทำลายสถิติของเปเล่ที่ยิงประตูไปทั้งสิ้น 643 ประตูให้กับซานโต๊สสโมสรชื่อดังในบราซิล

ลุ้นบัลลงดอร์สมัยที่ 6

เมสซี่และโรนัลโด้นั้นได้รางวัลลูกบอลทองคำหรือบัลลงดอร์เท่ากันที่ 5 สมัย และในปีนี้ ถึงแม้ผลงานของบาร์เซโลน่าและอาร์เจนติน่าจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผลงานส่วนตัวของเมสซี่ ยังนับว่าอยู่ในระดับสุดยอด เมสซี่เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจาก FIFA เป็นครั้งที่ 6 โดยได้รับคะแนนเหนือเวอร์จิลฟานไดค์กัปตันทีมชาติฮอลแลนด์และนักเตะของลิเวอร์พูลแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกปีล่าสุดแบบพลิกความคาดหมาย และเพิ่งคว้ารางวัลรองเท้าทองคำสมัยที่ 6 เช่นกัน แต่สำหรับรางวัลบัลลงดอร์หรือลูกบอลทองคำนั้น เมสซี่ยังคงตกไปลองคู่แข่งหน้าเดิมอย่างฟานไดค์อยู่หลายช่วงตัว แต่ไม่ว่าเมสซี่หรือฟาน ไดค์ใครจะได้รับรางวัลนี้ไปครอบครอง ก็นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟานไดค์ที่สามารถเอาชนะเมสซี่ในการพบกันโดยตรงระหว่างบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูล

post

รู้จัก 4 ทีมสุดท้ายในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลก

รักบี้ชิงแชมป์โลกครั้งที่ 9 ซึ่งจัดครั้งแรก ณ เมืองโยโกฮาม่าในประเทศญี่ปุ่น ได้มาถึงรอบรองชนะเลิศหรือ 4 ทีมสุดท้ายแล้ว โดยเป็นการพบกันระหว่าง “กุหลาบแดง” ทีมชาติอังกฤษพบเต็งหนึ่งของการแข่งขัน “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์  และ “เจ้าชาย” ทีมชาติเวลส์ม้ามืดของรายการจะพบกับ “สปริงบ็อก” ทีมชาติแอฟริกาใต้ โดยผู้แพ้จะได้ลงเล่นในสนามในเมืองโชฟู วันที่ 1 พฤศจิกายนเพื่อชิงอันดับที่ 3 และผู้ชนะจะเข้าไปชิงชนะเลิศจะแข่งกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน ณ สนามในกรุงโยโกฮาม่า

กุหลาบแดงพบออลแบล็ค

ควรจะเป็นคู่ชิงชนะเลิศที่แท้จริงเสียมากกว่าเพราะ “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์เป็นทั้งแชมป์เก่าและเต็ง 1 ของรายการและยังเป็นทีมอันดับ 1 ในการสะสมคะแนน world rugby ranking อีกด้วย ส่วน “กุหลาบแดง” ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลก 1 สมัยและรองแชมป์โลก 2 ครั้ง คือทีมอันดับ 2 ในworld rugby ranking เช่นกัน โดย “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์อดีตแชมป์โลกถึง 3 สมัยรวมถึงเป็นแชมป์โลก 2 สมัยล่าสุดในปี 2011, 2015 พวกเขาคือชาติที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในกีฬารักบี้ โดยในรอบก่อนรองชนะเลิศนั้น ทั้งสองชาติต่างเอาชนะคู่แข่งมาได้แบบถล่มทลาย โดยนิวซีแลนด์ถล่มเอาชนะไอร์แลนด์ไปถึง 46 ต่อ 14 จุด ส่วนอังกฤษก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาถล่มอดีตแชมป์โลกอย่างออสเตรเลียเละเทะถึง 40 ต่อ 16 จุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา

เวลส์พบกับแอฟริกาใต้

สำหรับ “เจ้าชาย” ทีมชาติเวลส์แล้ว พวกเขาดูจะมีประสบการณ์น้อยที่สุดใน 4 ทีม เพราะเป็นชาติเดียวที่ยังไม่เคยเข้าชิงชนะเลิศเลย เวลส์ทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับ 4 ในปี 2011 โดยแพ้แก่ออสเตรเลียรายการชิงอันดับที่ 3 เท่านั้น และในครั้งนี้พวกเขาก็เป็นม้ามืดอีกเช่นกัน โดยทีมชาติเวลส์สามารถพลิกล็อกเอาชนะ “เลส์ เบลอส์” ทีมชาติฝรั่งเศสอดีตรองแชมป์โลก 2 สมัยไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย 20 ต่อ 19 จุด ทั้ง ๆ ที่มีคะแนนตามหลังฝรั่งเศสตลอดการแข่งขัน ในรอบรองชนะเลิศนี้พวกเขาต้องพบกับ “สปริงบ็อก” ทีมชาติแอฟริกาใต้ อดีตแชมป์โลก 2 สมัย ซึ่งเป็นชาติเดียวที่ไม่เคยแพ้ในรอบชิงชนะเลิศเลย สำหรับแอฟริกาใต้นั้นพวกเขามีทีมรับที่ยอดเยี่ยม ในรอบก่อนรองชนะเลิศพวกเขาผ่าน “ซากุระ” ทีมชาติญี่ปุ่นเจ้าภาพที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกินคาดในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์จะถึงพวกเขาจะมีประสบการณ์มากกว่าทีมชาติเวลส์ แต่อันดับ world rugby ranking พวกเขากลับเป็นรอง ซึ่งทั้งเวลส์และแอฟริกาใต้เป็นทีมอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ นี่จึงเป็นการพบกันที่ถูกคู่ทีเดียว

รอบชิงแชมป์ที่โยโกฮาม่า

ไม่ว่าจะเป็นชาติใดที่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศที่สนามในเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่นก็นับได้ว่าเป็นการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกที่สมศักดิ์ศรีอย่างมากทีเดียวเนื่องจากทั้ง 4 ทีมสุดท้ายต่างเป็นทีมอันดับ 1 ถึง 4 ใน world rugby ranking โดย “ออลแบล็ค” นิวซีแลนด์ ยังเป็นเต็งหนึ่งของรายการ “กุหลาบแดง” อังกฤษที่ชาติที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในรอบก่อนรองชนะเลิศ “สปริงบ็อก” แอฟริกาใต้ที่ยังไม่เคยแพ้ใครในนัดชิงชนะเลิศ หรือเราอาจจะได้เห็นแชมป์โลกใหม่พูดไม่เคยเข้าชิงมาก่อนอย่างทีม “เจ้าชาย” เวลส์

post

มาร์ค บาตร้ากองหลังรูปงามหัวใจบาร์ซ่า

มาร์ค บาตร้า เกิดเมื่อ 15 มกราคม 1991 เขาคือกองหลังชาวคาตาลันโดยกำเนิด เขามีส่วนสูง 1.83 ซม. ซึ่งไม่ได้จัดว่าสูงสำหรับกองหลัง แต่ก็เพียงพอที่จะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีพอสมควร เพราะจุดเด่นของบาตร้าคือการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี อันเป็นมรดกที่นักเตะเยาวชนจากบาร์ซ่ามักจะทำได้ดีกันทุก ๆ คน บาตร้าเล่นให้บาร์เซโลน่าทั้งสิ้น 59 นัดก่อนย้ายไปเล่นกับสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในบุนเดสลีกาเยอรมัน และกลับมาเล่นลาลีกาอีกครั้งกับสโมสรเรอัล เบติสในฤดูกาลนี้มาร์ค บาตร้าติดทีมชาติสเปน 14 ครั้งและยังเคยลงเล่นให้ทีมชาติคาตาโลเนีย อีก 6 ครั้ง

เริ่มต้นความฝันกับบาร์เซโลน่า

มาร์คบาตร้าเหมือนนักฟุตบอลอีกหลาย ๆ คนที่มีความฝันจะได้เล่นกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าและประสบความสำเร็จกับทีมเหมือนที่คาร์เลส ปูโยลหรือเคราร์ด ปีเก้เป็น บาตร้าเริ่มสร้างชื่อเสียงและพัฒนาฝีเท้าจนได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รุ่นพี่ในทีมที่เป็นทั้งกัปตันทีมและกลายเป็นตำนานของทีมไปแล้ว อย่างคาร์เลส ปูโยลเริ่มมีอาการบาดเจ็บและโรยราลงไป ซึ่งแม้ว่าบาตร้าเองจะได้รับการผลักดันจากโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า และหลุยส์ เอ็นริเก้พอสมควรในตอนนั้นและลงเล่นให้บาร์เซโลน่าไปถึง 59 นัด แต่สุดท้ายด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บและการขาดการต่อเนื่องจากการลงสนามรวมถึงการย้ายมาของซามูเอลอุมติตี้กองหลังดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสในตอนนั้นจากสโมสรโอลิมปิก ลียงในฝรั่งเศส โอกาสของเขาก็ดูจะน้อยลงเรื่อย ๆ และต้องย้ายทีมในที่สุด

ช่วงเวลาที่ดีและร้ายในบุนเดสลีกา

แม้ว่าเส้นทางฝันของบาตร้ากับบาร์ซ่าจะเดินไปได้ร่วมกันไม่สุดทางแต่การย้ายมาร่วมทัพทีมใหญ่อย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยังเป็นอะไรที่ท้าทาย และพิสูจน์ฝีเท้าของบาตร้าอย่างแท้จริง บาตร้าได้กลายเป็นนักเตะหลักในแนวรับของดอร์ทมุนด์ในทันที และลงเล่นไปถึง 31 นัดในเกมบุนเดสลีกา แต่บาตร้ากลับต้องมาได้รับบาดเจ็บจากการถูกวางระเบิดรถบัสของสโมสรถึง 4 สัปดาห์ แถมยังมีปัญหากับแฟนบอลดอร์ทมุนด์บางกลุ่มที่ไม่พอใจการที่บาตร้าโพสต์เชียร์บาร์เซโลน่าการทำศึกเอล กลาสซิโก้กับเรอัล มาดริด รวมถึงยังโพสต์ยกย่องลิโอแนล เมสซี่ทางทวิตเตอร์ ทำให้มีกลุ่มแฟนบอลจำนวนนึงสาปส่งกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่เขาต้องย้ายกลับสเปนในปีต่อมานั่นเอง

กลับสู่ลาลีกาสเปนกับทีมยักษ์เขียว

 การย้ายกลับสู่ลาลีกาเสปนกับทีมยักษ์เขียว “เรอัล เบติส” อาจจะทำให้บาตร้ากลับมามีความสุขและเล่นในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง หลังจากต้องพบกับปัญหาในบุนเดสลีกากับโบรุสเซียดอร์ทมุนด์แบบไม่คาดคิดในบางเรื่อง การเล่นภายในทีมของกุนซือ “รูบี้” ผู้มีประสบการณ์การคุมเอสปัญญ่อลอีกหนึ่งสโมสรใหญ่ในแคว้นคาตาลันมาแล้ว อาจจะทำให้บาตร้ากลับสู่การเล่นที่เป็นตนเองอีกครั้งในวัย 28 ปี ซึ่งในวันที่บาร์เซโลน่ายังมีปัญหากองหลังตัวกลางเมื่ออุมติตี้ เจ็บเขาเรื้อรัง, ปีเก้เริ่มโรยรา บางทีอาจจะถึงเวลาของมาร์ค บาตร้ากองหลังหนุ่มรูปงามคนนี้กลับไปโลดแล่นในเสื้อสีเลือดหมู น้ำเงินอีกครั้ง

post

กูตีตำนานแห่งราชันย์ ผู้พร้อมรับไม้ผลัดจากซีดาน?

กูตีมีชื่อเต็มว่า “โฆเซ่ มาเรีย กูเตียเรซ” เขาเกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1976 ในวัยเด็กนั้นเขามีพรสวรรค์ในกีฬาเทนนิสเป็นอย่างมากแต่กลับเลือกเล่นฟุตบอลแทน โดยมีสโมสรอันเป็นที่รักสโมสรเดียวในดวงใจนั่นคือ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริดนั้นเอง ซึ่งกูตีเล่นให้สโมสรชุดขาวของลาลีกาสเปนเกือบตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขา ก่อนจะย้ายไปเบซิคตัสในช่วงก่อนแขวนสตั๊ด

กูตีผู้เคยเกือบถูกลืม

กูตีคือมาดริสต้าอย่างแท้จริงเขาเริ่มเล่นให้เรอัล มาดริดตั้งแต่ปี 1994 ในชุดซีและเริ่มไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เล่นชุดใหญ่ในปีถัดมา กว่า 6 ปีที่กูตีได้มีโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เรอัล มาดริดประสบความสำเร็จอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ไม่แพ้ผลงานในสนามเลย เรอัล มาดริดเต็มไปด้วยผู้เล่นมีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฌฟอนันโด เรดอนโด้, โรแบร์โต้ คาลอส, ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งแม้ว่าชื่อของกูตีอาจจะไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับแฟนบอลเรอัล มาดริดแล้วเขาคือหนึ่งในคนสำคัญ กูตีเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลาย เขาสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในกองกลาง หรือแม้แต่กองหน้าก็สามารถเล่นได้

จากยอดนักเตะสู้ยอดโค้ช

กูตีคุมทีมเรอัล มาดริดชุดเยาวชนมากกว่า 7 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์มากมาย โดยเฉพาะการสร้างประวัติศาสตร์สโมสรด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปี 2017 ในครั้งแรกที่ซีเนดีนซีดานบอกลาทีมไปทีมได้แต่งตั้งฆูเล็น โลเปเตกลีอดีตกุนซือทีมชาติสเปน เข้ามาคุมทีมแทนแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งเรอัล มาดริดได้ตั้งซานติอาโก้ โซลารี่หัวหน้าผู้ฝึกสอนจากเรอัล มาดริดคาสติญย่ามาคุมทีมช่วงสั้น ๆ แต่ก็ไปได้ไม่รอดเช่นกัน ชื่อของกูตีจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งกุนซือเรอัล มาดริดในทันที ก่อนที่ซีเนอดีน ซีดานจะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบที่ 2 ปัจจุบันกุตีได้ไปเป็นผู้ช่วยของอับดุลลา อวิชี่ ผู้จัดการทีมสโมสรเบซิคตัสในตุรกี เพื่อหาประสบการณ์

ราชันย์ที่แสนยุ่งเหยิง

ปัจจุบันเรอัล มาดริดของซีเนดีน ซีดานยังอยู่ในฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูเง่ายแนวรุกของทีมก็ยังไว้วางใจไม่ได้ ในลาลีกาพวกเขายิงไปเพียง 16 ประตูเท่านั้นทั้ง ๆ ที่มีแนวรุกระดับโลกอยู่มากมาย ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกที่พวกเขาเป็นเต้ยของถ้วยนี้ ก็เพิ่งถูกปารีสแซงต์ แชร์แมงยำใหญ่มาถึง 3-0 แต่เทพีแห่งโชคยังอยู่กับทีมชุดขาวเมื่อคู่ปรับโดยตรงอย่างบาร์เซโลนาและแอตเลติโก มาดริดฟอร์มออกทะเลพร้อมกับพวกเขา แต่ในตอนนี้ดูเหมือนทีมใหญ่จากแคว้นคาตาลันอย่างบาร์เซโลน่าเริ่มกลับมาเก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายนัดส่วนทีมตราหมีเพื่อนร่วมเมืองก็เริ่มกลับมาแล้ว เก้าอี้ของซีดานกำลังร้อนฉ่าเลยทีเดียว นี่อาจจะเป็นโอกาสอีกครั้งที่กูตีจะได้กลับเรอัล มาดริดที่เขารักเพียงแต่ไม่ใช่ในฐานะนักเตะเท่านั้นเอง

post

นาดาลสุดร้อนแรงคว้าแกรนด์สแลมครั้งที่ 19

ราฟาเอล นาดาล ยอดนักเทนนิสชาวสเปน อดีตมือ 1 ของโลก (ปัจจุบันเป็นมือวางอันดับ 2 ของโลกรองจากโนวัค ยอโควิช) กำลังท้าทายความเป็นราชันนักเทนนิสของโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ผู้คว้าแกรนด์สแลมสูงสุดในวงการเทนนิสมาถึง 20 รายการ หลังจากนาดาลคว้าแชมป์เทนนิสเฟรนช์โอเพ่นสมัยที่ 12 และ ยูเอส โอเพ่นได้ในปีล่าสุด ทำให้นาดาลคว้าแกรนด์แสลมได้เป็นครั้งที่ 19 แล้ว โดยก่อนหน้านี้นาดาวประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องพักรักษาตัวไปอย่างยาวนาน จนหลายสื่อไม่คาดคิดว่าเขาจะกลับมาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดที่อีก

ราชาคอร์ดดิน

ราฟาเอล นาดาล เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1986 เขาคือหลานชายแท้ ๆ ของมิเกล แองเจล นาดาลกองหลังชื่อดังทีมชาติสเปนของสโมสรบาร์เซโลน่า แต่ราฟาเอล นาดาลกลับสนใจในกีฬาเทนนิสซึ่งเป็น 1 ในกีฬายอดนิยมในสเปนมากกว่านาดาลสามารถใช้มือได้ดีทั้ง 2 ข้างเขาใช้มือซ้ายเขียนหนังสือแต่ใช้มือขวาจับแร็กเกตเทนนิส นาดาลมีประสบการณ์ในช่วงเยาวชนน้อยมาก หากเทียบกับนักเทนนิสรุ่นพี่แล้วถือว่าเขาเริ่มต้นได้ช้ากว่ามาก แมทช์การแข่งขันที่ทำให้ราฟาเอล นาดาลเป็นที่รู้จักคือ การเอาชนะแอนดี้ ร็อดดิคนักเทนนิสมือ 1 ของโลกชาวอเมริกันในขณะนั้นในศึกเดวิสคัพทำให้ทีมชาติสเปนสามารถเอาชนะและคว้าแชมป์โลกจะไปได้สำเร็จ หลังจากนั้นนาดาลก็เริ่มสร้างความสำเร็จส่วนตัวด้วยมาแต่การที่ต้องมีคู่แข่งขันอย่างโรเจอร์ เฟเดอเรอร์นักเทนนิสรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของวงการเทนนิส กับโนวัค ยอโควิช ที่ผงาดขึ้นเป็นมามือวางอันดับ 1 ของโลกแทนตัวเขาในช่วงเวลาที่นาดาลประสบอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนถึงปัจจุบัน

การต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

ในอดีตวงการเทนนิสมักจะมียุคของใครสักคนหนึ่ง เช่นบียอร์น บอร์ก, จอห์น แม็คแอนโรหรือพีท แซมพาท แต่ในยุคของนาดาลนั้นกลับมีคู่แข่งที่ทัดเทียมกันถึง 3 คนในเวลาไล่เรี่ยกันคือตัวเขา, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นคิงออฟเทนนิสและโนวัค ยอโควิชนักเทนนิสมือวางอันดับ 1 ในปัจจุบัน ความสำเร็จของนาดาลนั้น จึงไม่เพียงต้องเอาชนะในเกมการแข่งขันเท่านั้น เขายังต้องฝึกซ้อมอย่างหนักและต่อสู้กับอาการบาดเจ็บของตนเอง โดยเฉพาะในช่วงปี 2011 นาดาลได้เข้าชิงแกรนด์สแลมติดกันถึง 3 รายการคือวิมเบิลดัน, ยูเอสโอเพ่น และออสเตรเลียโอเพ่นก่อนที่ทุกรายการจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อนักเทนนิสคนเดียวกันคือโนวัค ยอโควิช ก่อนที่จะแพ้ให้กับยอดนักเทนนิสชาวเซอร์เบียคนเดิมอีกครั้งในออสเตรเลียนโอเพ่นในปี 2019 ปีล่าสุดนี้และไม่เคยแพ้อีกเลยในรอบชิง

นาดาลยังต้องการอีก 2 แกรนด์สแลม

ราฟาเอลนาดาลได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้มองถึงโอกาสการคว้าแกรนด์สแลมแซงโรเจอร์เฟเดอเรอร์ขึ้นเป็นอันดับ 1 แห่งวงการเทนนิสมากนัก และรวมถึงการทำอันดับกลับไปเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้งแทนโนวัค ยอโควิช เขาเพียงรู้สึกดีที่กลับมาคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นและเฟรนช์โอเพ่นได้อีกครั้งหลังจากต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บเรื่อยมา แต่เป้าหมายที่รอราฟาเอลนาดาลอยู่นั้นช่างท้าทายเหลือเกิน และหากไม่ใช่เขาบางทีอาจจะไม่มีใครที่ทำลายสถิตินี้ได้อีกแล้ว แม้ว่าโนวัค ยอโควิชไม่วางอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบันจะสามารถคว้าไปได้แล้ว 16 แกรนด์สแลมแต่นั้นอาจจะดูยากเกินไปกับอีก 5 แกรนด์สแลมที่เขาต้องการด้วยอายุที่น้อยกว่านาดาลเพียง 1 ปี โอกาสของราชากระทิงในวงการเทนนิสกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

post

มาราโดน่าผู้เป็นเสมือนพระเจ้าของชาวอาร์เจนตินา

D10s หนึ่งในฉายาของดีเอโก้มาราโดน่า เป็นการตกแต่งตัวอักษร จากคำว่า Dios ที่แปลว่าพระเจ้าในภาษาละตินนั่นเอง ชื่อเต็มของเขาคือดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 มาราโดน่าเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกหรือกองหน้าตัวต่ำ เขาคือนักฟุตบอลคนที่ 2 ของโลกต่อจากเปเล่ที่ได้รับการสรรเสริญว่ามีฝีเท้าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ก่อนที่ในสองทศวรรษที่ผ่านมาจะมีชื่อของลิโอเนล เมสซี่และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ขึ้นมาเทียบเคียง

แอนตี้ฮีโร่ตัวจริง

มาราโดนาเกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 4 โดยมีพี่สาว 3 คนและน้องชายอีก 2 คน เขาสูงเพียง 1.65 ม. เท่านั้น แม้แต่ในช่วงที่เจ้าตัวฟอร์มดีมาก ๆ เขาก็มีน้ำหนักถึง 76 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น้ำหนักน้อยกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้เพียง 12 กิโลกรัม แต่เตี้ยกว่าโรนัลโด้ ถึง 22 ซม.) ซึ่งไม่ว่ามองมุมไหนเขาก็ไม่น่าจะเป็นนักกีฬาหรือนักฟุตบอลที่เก่งได้เลยหากพิจารณาจากสรีระของเขา เขามีฉายาในตอนเด็กคือ “เปรูโซ่” (ไอ้หัวฟู) อันมาจากทรงผมของเขา แต่โค้ชมักจะเรียกเขาว่า “ไอ้อ้วน” โดยในครั้งหนึ่งของการแข่งขันระดับเยาวชน มาราโดน่าที่เป็นเพียงตัวสำรองและดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากโค้ชเลย ในช่วงเวลาที่ทีมกำลังตามหลังอยู่ 3-1 ทีมกำลังจะแพ้ โค้ชของเขาได้ตะโกนเรียกให้มาราโดน่าวอร์มก่อนส่งลงไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันทีด้วยอาการฉุนเฉียว ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นเขาต้องตกตะลึงเมื่อทีมของเขาพลิกกลับมาชนะได้ 5-3 โดยที่ “ไอ้เด็กอ้วน” ที่เขาเคยดูแคลนคนนี้ยิงแฮตทริกได้ในเกมนั้น

ชีวิตที่ติดลบกับการเป็นตัวตนของตัวเอง

ตลอดชีวิตของการค้าแข้งมาราโดน่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องของโคเคนซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงออกถึงการปฏิเสธ ทำให้เขามาจะโดนลงโทษจากทางสโมสรและทางกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาการติดโคเคนของเขาส่วนหนึ่งมาจากการรักษาอาการบาดเจ็บเนื่องจากในฟุตบอลยุคก่อนนักฟุตบอลในเกมรุกเช่นเขาไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรรมการมากเท่าเทียมกับปัจจุบันทำให้เขาต้องเผชิญกับการเข้าบอลหนักจนเป็นที่มาของอาการบาดเจ็บเสมอ แต่การได้รับคำดูถูกจากแฟนบอลคู่แข่งไม่เคยสร้างความอ่อนไหวให้กับเขาเลย เพราะ 2 สิ่งในฟุตบอลที่เขาแคร์ที่สุดคือทีมชาติอาร์เจนตินาและโบคา จูเนียร์สโมสรที่เขารักหมดใจตั้งแต่ในวัยเด็ก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาเป็นนักต่อสู้และไม่เคยลืมว่าเขามาจากที่ใด มาราโดน่าผู้ไม่เคยเสแสร้ง เขาแสดงออกอย่างลิงโลดทุกครั้งที่ทีมได้ชัยชนะที่สำคัญ และเดินร้องไห้อย่างไม่อายใครเมื่อทีมที่เขารักต้องพ่ายแพ้ นี่คือมาราโดน่าผู้ซึ่งเป็นขวัญใจของชนชั้นแรงงานผู้ยากจนของชาวอาร์เจนตินา

เมสซี่และมาราโดน่า

ผู้คนมักจะเปรียบเทียบ 2 อัจฉริยะต่างยุคกันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าสองคนนี้จะมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน สวมหมายเลข 10 เหมือนกัน, เล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาและสโมสรบาร์เซโลน่าเหมือนกัน หรือแม้แต่เคยเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามจากกลางสนามเข้ามายิงประตูได้เหมือนกัน จริง ๆ แล้ว 2 คนนี้มีอีกหลายอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมสซี่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ส่วนมาราโดนาเป็นกองกลางเสียมากกว่า หรือจะเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ เมสซี่ดูจะเป็นกัปตันทีมที่สุขุม พูดน้อย จนหลายครั้งสื่อโจมตีเขาว่า เมสซี่มักจะถอดใจก่อนลูกทีมเสียอีก ในขณะที่มาราโดน่าเขาคือผู้นำอย่างแท้จริงทุกคนในทีมต่างพยายามหนักทำงานเพื่อเขาแย่งบอลมาแล้วส่งให้เขา แต่ไม่ว่าจะมีการเปรียบเทียบกันอย่างไร แฟนบอลคือผู้ที่ได้กำไรจากการได้ชมฝีเท้าอันเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองคน

post

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของโบคา จูเนียร์

โบคา จูเนียร์ส คือหนึ่งสโมสรใหญ่ในอาร์เจนตินา ก่อตั้งเมื่อ 3 เมษายน 1905 ในกรุงบัวโนสไอเรสร่วมกับริเวอร์เพลท พวกเขา เป็นเจ้าของสนามลา บอมโบเนร่ที่เก่าแก่และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังซึ่งมีความจุสนามกว่า 49,000 คน โบคา จูเนียร์คือทีมขวัญใจชนชั้นแรงงานชาวอาร์เจนตินาและเป็นสโมสรในดวงใจของดีเอโก้ มาราโดน่านักฟุตบอลที่ชาวอาร์เจนตินายกย่องให้เป็นพระเจ้าของพวกเขา

โบคา จูเนียร์กับฟุตบอลลีกอาเจนติน่า

สโมสรชั้นนำในอเมริกาใต้ต่างจากสโมสรระดับ ท็อปของยุโรปโดยสิ้นเชิง ขณะที่สโมสรดังอยากบาร์เซโลน่าหรือเรอัล มาดริดต่างควานหาเพชรเม็ดงามจากสโมสรอเมริกาใต้เหล่านี้ โบคา จูเนียร์หรือสโมสรชั้นนำอื่น ๆ กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะพวกเขาอยากจะขายนักเตะมีชื่อของตนเองเพื่อให้ได้ราคามากที่สุด ทั้งนี้เพื่อโอกาสของตัวนักเตะเองที่จะได้มีสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองเหมือนรุ่นพี่ทีมชาติอาร์เจนตินอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ต่างเป็นแบบอย่าง เป็นความฝันของเด็ก ๆ ชาวอาร์เจนตินา ประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็ก ๆ หลายคนเกิดในครอบครัวที่ยากจน ฟุตบอลจึงแทบจะเป็นทุกอย่างของเด็ก ๆ เหล่านี้และเป็นโอกาสของครอบครัวของพวกเขา ทำให้ในบางฤดูกาลที่สโมสรที่เป็นแชมป์ของประเทศแต่ในฤดูกาลถัดมาพวกเขากลับต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีตกชั้นทั้งนี้เพราะนักเตะในทีมคนสำคัญบางคนย้ายออกไปเล่นบอลสโมสรในยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่

โบคาและริเวอร์เพลท

ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง โดยเฉพาะริเวอร์เพลท คู่ปรับร่วมเมืองภายใต้การนำของมาร์เซโล่ กายาร์โด้พวกเขาคว้าแชมป์โคปาลิเบอร์ตาโดเรสได้เป็นว่าเล่น ส่วนโบคาจู เนียร์เองก็คว้าคว้าแชมป์ลีกอาเจนติน่าเป็นครั้งที่ 33 สำเร็จ แต่ก็ยังตามหลังริเวอร์เพลทซึ่งเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดที่ 36 สมัย และถึงแม้ว่าทีมเหลือง-ทองแห่งเมืองหลวงจะขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนแฟนบอลและบริหารจะไม่พอใจนักกับการที่ต้องพลาดแชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรสคัพด้วยน้ำมือของริเวอร์เพลท หรือความกดดันที่เกินแบกรับไหว ทำให้กุนซืออดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลอย่างกิแยร์โม เชล็อตโต้ต้องอำลาจากทีมไปในที่สุด

โบคาในยุคของกุนซืออัลฟาโร่

กุสตาโว อัลฟาโร่ คือกุนซือชาวอาร์เจนตินาวัย 57 ปีซึ่งมีประสบการณ์การคุมทีมยาวนานเกือบ 30 ปีในลีกอาร์เจนติน่า แต่กับการคุมบังเหียนสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างโบคาที่มีนักเตะชื่อดังตัวเก๋าในทีมอย่างคาร์ลอส เตเบซ, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เมาโร ซาราเต้ คงเป็นงานที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา ในเวลานี้โบคา จูเนียร์นำเป็นจ่าฝูงร่วมกับริเวอร์เพลทและอาร์เจนติโนส จูเนียร์สโดยทีมหลังเล่นน้อยกว่า 1 นัด ส่วนริเวอร์เพลทยังมีเกมนัดชิงชนะเลิศโคปาลิเบอร์ตาดอเรสครับรออยู่ การลุ้นแชมป์ลีกอาร์เจนติน่าสมัยที่ 34 จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโบคาของอัลฟาโร่ แต่คงเป็นงานที่ไม่ง่ายแต่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว